- 19 ม.ค. 2559
ติดตามข่าวสารเพิ่มเติมได้ทาง www.tnews.co.th
การตรวจสอบกรณีที่ สมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ หรือ สมเด็จช่วง เจ้าอาวาสวัดปากน้ำ ภาษีเจริญ ผู้ปฏิบัติหน้าที่แทนสมเด็จพระสังฆราช และประธานกรรมการมหาเถระสมาคม ครอบครองรถเบนซ์หรูจดประกอบ รุ่น W186 มูลค่ากว่า 3,000,000 บาท
ซึ่งในวันนี้ (19 ม.ค.) กรมสอบสวนคดีพิเศษได้เดินทางไปวัดปากน้ำ ภาษีเจริญตามคำเชิญของวัดปากน้ำ ที่ต้องการแสดงความบริสุทธิ์ใจ พร้อมส่งมอบเอกสารสำคัญเกี่ยวกับรถคันดังกล่าว
พ.ต.ต.วรณัน ศรีล้ำ ผู้อำนวยการศูนย์บริหารคดีพิเศษ/ รองโฆษกกรมสอบสวนคดีพิเศษ และคณะพนักงานสอบสวน กล่าวว่า จะเตรียมประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อาทิ กรมการขนส่งทางบก กรมศุลกากร กรมสรรพสามิต เข้าทำการตรวจสอบ โดยใช้เวลาอย่างน้อยประมาณ 1 เดือน พร้อมกับเตรียมเชิญบุคคลที่มีรายชื่อในเอกสารการครอบครองตั้งแต่เริ่มต้นจนถึงผู้ครอบครอง ล่าสุดเข้าให้ข้อเท็จจริงกับทางเจ้าหน้าที่ต่อไป
นายดำเกิง จินดาหรา เป็นตัวแทนนำชมรถดังกล่าว เปิดเผยว่า สมเด็จช่วงเจ้าอาวาสวัดปากน้ำภาษีเจริญ พร้อมยินดีให้การตรวจสอบในทุกกรณี ซึ่งรถโบราณดังกล่าวมีลูกศิษย์วัดนำมาถวายจริง
ขณะที่ในส่วนของอะไหล่บางชิ้นส่วนนั้น ยอมรับว่าทางวัดได้มีการสั่งนำเข้ามาในภายหลัง ทั้งนี้ หากผลการตรวจสอบออกมาเช่นใด ทางวัดก็ยินดีทำ
และก็เป็นการตอกย้ำมาจากฝั่งรัฐบาล ว่าก่อนที่จะรายชื่อสมเด็จพระสังฆราชองค์ที่ 20 ขึ้นทูลเกล้า ต้องตรวจสอบข้อมูลคำร้องคัดค้านและส่วนที่เห็นด้วยให้ได้ข้อสรุปเรียบร้อยก่อน
นายสุวพันธุ์ ตันยุวรรธนะ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ในฐานะกำกับดูแลสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ กล่าวถึงเรื่องร้องเรียนและการตรวจสอบของกรมสอบสวนคดีพิเศษ เกี่ยวกับรถหรูของสมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ (สมเด็จช่วง) เจ้าอาวาสวัดปากน้ำ ภาษีเจริญ ว่าจะต้องรอให้มีการสรุปก่อนที่จะนำขึ้นทูลเกล้าฯ ถวาย โดยรายละเอียดทั้งหมดที่เกี่ยวข้องจะต้องรวบรวม รวมถึงกรณีพระธัมมชโย เจ้าอาวาสวัดพระธรรมกายว่า เกี่ยวข้องอย่างไรกับสมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์อย่างไรหรือไม่ ขอยืนยันว่าเรื่องนี้ดำเนินการตามขั้นตอน ไม่มีการเตะถ่วงอย่างเด็ดขาด
อย่างไรก็ตาม พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้า คสช. ได้สั่งการให้ทำรายงานให้สมบูรณ์ที่สุดเพื่อที่จะใช้ในการตัดสินใจ
ข้อครหาของฝ่ายคัดค้าน สมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ เจ้าอาวาสวัดปากน้ำภาษีเจริญ ในการขึ้นเป็นสมเด็จพระสังฆราชนั้น สามารถแบ่งออกเป็น 3 เรื่องหลักดังนี้
1.ถือครองรถยนต์หรูผิดกฎหมายหรือไม่ ซึ่งอยู่ระหว่างการตรวจสอบของกรมสอบสวนคดีพิเศษ สืบเนื่องจากก่อนหน้านี้ในปี 2556 หลวงปู่พุทธะอิสระได้เข้าแจ้งความร้องทุกข์ต่อดีเอสไอในคดีเจ้าอาวาสวัดไผ่ล้อมนำเข้ารถหนีภาษี ซึ่งจากการสืบสวนสอบสวนทำให้ทราบว่ารถหรูราคาแพง 1 ใน 6,757 คันนั้นมีชื่อของสมเด็จช่วงเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์และครอบครองเอาไว้
โดยข้อมูลในชั้นสืบสวนพบว่า ทำนิติกรรมอำพราง สำแดงหลักฐานเป็นเท็จว่า รถเมอร์เซเดสเบนซ์ หมายเลขทะเบียน ขม. 99 เลขตัวถัง 186014-0042053 หมายเลขเครื่องยนต์ 1869204500552 ขนาดเครื่องยนต์ 3,000 ซีซี ที่สำแดงว่าเป็นอะไหล่รถยนต์เก่า
แต่แท้จริงเป็นการนำเข้ามาทั้งคัน เนื่องจากรถยนต์เก่าการถอดชิ้นส่วนมีโอกาสที่อะไหล่จะชำรุด และหาอะไหล่ชิ้นใหม่มาทดแทนไม่ได้ รวมทั้งไม่สามารถอดชิ้นส่วนมาประกอบใหม่ได้ การกระทำดังกล่าวเข้าข่ายผิด พ.ร.บ.ศุลกากร มาตรา 27 ฐานสำแดงเอกสารเท็จ หลีกเลี่ยงอากร ลักลอบนำเข้าสินค้าหนีด่านศุลกากรออกจากคลังสินค้าทัณฑ์บนและเขตปลอดอากร ต้องระวางโทษปรับ 4 เท่าของอากรที่หลบเลี่ยงจำคุกไม่เกิน 10 ปี หรือทั้งจำทั้งปรับ
ปัญหาคือใครเป็นผู้สั่งนำเข้ารถคันดังกล่าว ซึ่งเดิมทีสมเด็จช่วงอาจจะอ้างได้ว่าไม่รู้ว่ารถคันนี้นำเข้ามา โดยหนีภาษี หรือมีการสำแดงเท็จเพราะเป็น เรื่องของฆราวาส แต่เมื่อปรากฏข้อมูลข่าว ชัดเจนจะอ้างไม่รู้ไม่เห็นต่อไปไม่ได้ ดังนั้น การไม่ส่งคืนรถให้ทางราชการจะถือว่า ยินดีรับไว้ ซึ่งผิดวินัยสงฆ์ต้องปาราชิกสิกขาบทที่ 2 ปรับอาบัติ เปรียบเทียบได้กับการรับของโจรของฆราวาส
2.ร่วมกับมหาเถรสมาคมปฏิบัติหรือละเว้นกรปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157 กรณีไม่ดำเนินการตามพระลิขิตของสมเด็จพระสังฆราช ที่ทรงมีคำวินิจฉัยให้พระธัมมชโย ต้องอาบัติปาราชิกกรณียักยอกทรัพย์สินของวัดธรรมกายมาเป้นของตนเอง
3.กระทำความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 กรณีเสนอให้พระธัมมชโย เลื่อนสมณศักดิ์จากยศพระราชภาวนาวิสุทธิ์เป็นพระเทพญาณมหามุนี ทั้งที่ต้องอาบัติปาราชิกไปแล้วตามพระลิขิตของสมเด็จพระสังฆราช จึงเท่ากับเป็นการถวายความเท็จ เพื่อหาผลประโยชน์




