- 05 ก.พ. 2559
ติดตามข่าวสารเพิ่มเติมได้ที่ www.tnews.co.th
ถ้านับจากวันเริ่มต้นนโยบายรับซื้อยางพารา 1 แสนตัน เมื่อวันทึ่ 25 ม.ค.ที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบัน ต้องนับว่าทิศทางการดำเนินการยังไม่เป็นไปตามการคาดการณ์เท่าที่ควร ถ้าพิจารณาจากยอดรับซื้อยางและกระแสความเห็นของพี่น้องเกษตรกรชาวสวนยางพารา ที่เห็นว่าการทำงานของกระทรวงเกษตรฯและการยางแห่งประเทศไทย หรือ กยท. ไม่มีประสิทธิภาพเท่าที่ควร
ทั้งนี้จุดหนึ่งที่ทำให้นโยบายการรับซื้อยางซึ่งมีเป้าหมายกระตุ้นราคายางในประเทศให้สูงขึ้นถูกวิพากษ์วิจารณ์ หนีไม่พ้นเรื่องของราคายางซึ่งมีทิศทางปรับตัวลงเมื่อเปรียบเทียบในระยะแรกที่มีกระแสข่าวว่าภาครัฐจะนำนโยบายนี้มาใช้
โดยราคายาง ณ ตลาดกลาง อ.หาดใหญ่ประจำวันนี้ ( 5 ก.พ.) พบว่า ราคาน้ำยางสดอยู่ที่ 36.00 บาทต่อกิโลกรัม ราคายางแผ่นดิบอยู่ที่ 37.77 บาท ต่อกิโลกรัม และ ราคายางแผ่นรมควันชั้น 3 อยู่ที่ 39.47 บาทต่อกิโลกรัม
และถ้าเทียบเคียงกับราคาเมื่อวันที่ 25 ม.ค. ซึ่งภาครัฐเริ่มต้นนโยบายรับซื้อยางจากเกษตรกรชาวสวนยางพารา กับราคาปัจจุบันจะพบว่าความต่างที่เกิดขึ้นดังนี้
1.ราคาน้ำยางสด มีระดับลดลงไปแล้ว 3 บาท ( จากราคา 39.00 บาทต่อกก.)
2.ราคายางแผ่นดิบ ลดลงไปแล้ว 2.65 บาท (จากราคา 40.42บาท/กก.)
3.ราคายางแผ่นรมควันชั้น 3 ลดลงไปแล้ว 2.95 บาท (จากราคา 42.42บาท/กก.)
ขณะที่ตัวเลขการรับซื้อยางของกยท. ณ วันที่ 3 ก.พ. พบว่ามีปริมาณการรับซื้อยางแล้วจำนวนเพียง 697.64 ตัน จากเกษตรกรที่เข้าร่วมโครงการ 7,171 ราย แยกเป็นยางแผ่นดิบ 264 .03 ตัน , น้ำยางสด 144.76 ตัน , ยางก้อนถ้วย 288.86 ตัน และคิดเป็นเงินที่ภาครัฐต้องจ่ายให้เกษตรกรสวนยางจำนวน 29.80 ล้านบาท
ส่วนจุดปัญหาอุปสรรคที่ทำให้นโยบายการรับซื้อยางของภาครัฐไม่เป็นไปตามคาดการณ์ มีข้อสรุปเป็นเบื้องต้นจากกยท.ว่าปัญหาใหญ่มาจากเรื่องจุดรับซื้อ โดยเฉพาสถาบันเกษตรกรซึ่งถูกกำหนดให้เป็นจุดรับซื้อ/แปรรูปยาง จากน้ำยางสดเป็นยางแผ่นรมควัน ให้ความร่วมมือน้อยเนื่องจากมองว่าค่าใช้จ่ายไม่คุ้มค่า สำหรับค่าดำเนินการ กำหนดไว้ที่ร้อยละ 1 ของมูลค่ายาง
อาทิ 1.ถ้าจัดการน้ำยางสดในปริมาณ 3 ตันเศษ จึงจะได้เนื้อยางแห้ง 1 ตัน แต่ได้รับค่าดำเนินการเพียง 420 บาท
2. ค่าจ้างแปรรูปน้ำยางสดเป็นยางแผ่นรมควันกำหนดไว้ที่ 4.60 บาท/กก. ในขณะที่ต้นทุนจริงอยู่ที่ประมาณ 5.30 บาท/กก
ขณะเดียวกันถ้าย้อนกลับไปดูมุมมองของแกนนำเครือข่ายเกษตรกรชาวสวนยางพารา พบว่ามีข้อห่วงใยในเรื่องแนวทางการรับซื้อยางของภาครัฐมาตั้งแต่ต้น แม้ว่าจะเข้าใจเป้าหมายของพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ในการลงสั่งการช่วยเหลือชาวสวนยางพารา
อย่างกรณีของ นายทศพล ขวัญรอด ประธานภาคีเครือข่ายเกษตรกรชาวสวนยางและปาล์มน้ำมันแห่งประเทศไทย ที่ยื่นข้อเรียกร้องไปยังรัฐบาลให้ปรับเปลี่ยนวิธีการรับซื้อยางพารา เนื่องจากราคารับซื้อที่กำหนดเป็นข้อเสนอของกระทรวงเกษตรฯ ในสัดส่วนกิโลกรัมละ 45 บาท ไม่จูงใจเกษตรกรผู้ปลูกสวนยางพารา อีกทั้งจุดรับซื้อมีน้อยไม่ครอบคลุม รวมทั้งยังมีข้อจำกัดเรื่องระเบียบการจ่ายเงิน และโควตารับซื้อในสัดส่วน 150 กิโลกรัมต่อราย
โดยตามระเบียบการรับซื้อยางพาราที่กำหนดจากกยท. ต้องเป็นไปตามเงื่อนไข ซึ่งประกอบด้วย
1.ผลผลิตนำขายรายละไม่เกิน 15 ไร่ โดยจำนวนเศษของไร่ให้ปัดขึ้นเป็น 1 ไร่
2.ปริมาณผลผลิตต่อไร่ไม่เกิน 10 กิโลกรัม รวมรายละไม่เกิน 150 กิโลกรัม
ขณะที่สถานที่รับซื้อยาง ประกอบด้วย สหกรณ์การเกษตร , สหกรณ์กองทุนสวนยาง , กลุ่มเกษตรกรชาวสวนยาง และวิสาหกิจชุมชน
ส่วนหลักเกณฑ์เกษตรกรที่จะเข้าโครงการรับซื้อยางพาราของภาครัฐที่ผ่านมา คือ
1.ต้องเป็นเกษตรกรที่ขึ้นทะเบียนกับ กยท. ตาม พ.ร.บ. การยางแห่งประเทศไทย 2558
2.ต้องมีบัญชีธนาคารกับธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร(ธ.ก.ส.) เนื่องจากเมื่อเกษตรกรนำน้ำยางสด , ยางก้อนถ้วย และยางแผ่นดิบมาขาย เจ้าหน้าที่จะทำการบันทึกข้อมูลลงในระบบอิเล็กทรอนิกส์ และออกเป็นเอกสารให้แก่เกษตรกร หลังจากนั้นจะเข้าสู่ขั้นตอนการจ่ายเงินให้เกษตรกรผ่านบัญชี ธ.ก.ส. ภายใน 2 วัน
นอกเหนือระเบียบขั้นตอนและกระบวนการรับซื้อยางที่กลุ่มเกษตรกรชาวสวนพาราเห็นว่าไม่ตอบโจทย์นโยบายการช่วยเหลือราคายางที่ตกต่ำแล้ว บางส่วนยังเห็นว่าแนวทางการทำงานของผู้บริหารกยท.ยังมีส่วนสำคัญ ทำให้นโยบายกระตุ้นราคายางพาราในประเทศไม่เกิดประสิทธิผลตามเป้าหมาย
โดย นายวิสุทธิ์ นิติยารมย์ อดีตผู้อำนวยการศูนย์ประสานงานเกษตรกรภาคใต้ ได้ตั้งข้อสังเกตถึงกลไกของราคาที่ไม่ขยับขึ้นตามนโยบายการรับซื้อ ทั้งๆที่ปริมาณยางน้อยเพราะติดฤดูปิดกรีดยางแล้วว่า
สาเหตุหนึ่งมาจากการเซ็นสัญญาระหว่างกยท.กับชิโนแคม ซึ่งเป็นรัฐวิสาหกิจของจีนในช่วงเดือนธันวาคม จำนวน 2 แสนตัน ซึ่งวิเคราะห์ได้ว่าเมื่อทางจีนมีสัญญาซื้อขายล่วงหน้า ก็ไม่มีความจำเป็นต้องเร่งกระบวนการสั่งซื้อยางพาราจากไทยในตลาดปกติ ผลก็คือราคายางในประเทศมีความเคลื่อนไหวในระดับต่ำ เพราะถูกกดด้วยปริมาณยาง 2 แสนตันที่กยท.เสนอขายให้กับทางชิโนแคมก่อนหน้า
ทางด้าน นายเพิก เลิศวังพง ประธานที่ปรึกษา ชุมนุมสหกรณ์ชาวสวนยางแห่งประเทศไทย จำกัด (ชสยท.) เคยตั้งข้อสังเกตในประเด็นนี้ไว้เช่นกัน โดยระบุว่า แก้ปัญหาราคายางของเกษตรกรทำได้ล่าช้า เพราะผู้บริหาร กยท.ไปทำสัญญาซื้อขายยางร่วมกับจีน ซึ่งพบพบพิรุธมากมายว่าอาจเป็นสัญญาเอื้อนายทุน เพราะในสัญญาระบุว่าต้องเป็นยางใหม่ อายุไม่เกิน 3 เดือนเท่านั้นที่จะขายให้จีน แทนการนำยางในสต็อกจำนวนกว่า 4 แสนตันไปขาย และในสัญญายังระบุอีกว่าจะต้องเป็นการซื้อขายผ่านบริษัท 5 เสื้อซึ่งเป็นบริษัทเอกชนที่มีอิทธิพลในวงการยางพาราไทยเท่านั้น
สำหรับการโครงการซื้อ-ขายยางกับ ชิโนเคม จำนวน 2 แสนตัน ดังกล่าวถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างมาก เกี่ยวเงื่อนไขในสัญญาที่ไม่ชัดเจน โดยเฉพาะการที่กยท.ทำหน้าที่เป็นหน่วยงานที่เข้ามารับซื้อยางจากสถาบันเกษตรกร แล้วจ้างบริษัทที่อยู่ในบัญชีแนบท้ายสัญญา ทำการแปรรูป รวมทั้งประทับตราเครื่องหมายรับรองคุณภาพมาตรฐาน ซึ่งเครื่องหมายรับรองดังกล่าว จำเป็นที่กยท.ต้อง พึ่งพาบริษัท 5 ส่งออกคือบริษัท ศรีตรัง , บริษัท เกิดวงศ์บัณฑิต , บริษัท เซาท์แลนด์ บริษัทไทยฮั้ว และบริษัท บีไรท์ เนื่องจากมีมาตรฐานในการ แปรรูปยางตรงกับความต้องการของผู้ซื้อที่กำหนดไว้ในสัญญา
และด้วยสถานการณ์ราคายางที่ยังทรงตัว จึงทำให้แนวนโยบายการรับซื้อยางของกยท.จำนวน 1 แสนตัน ถูกจับตาว่าอาจเป็นเพียงวิธีการของผู้บริหารกยท.บางคนที่ต้องการเร่งแก้ปัญหาส่วนตัว จากการไปเซ็นสัญญากับบริษัทชิโนเคมเท่านั้น ผลท้ายสุดก็คือการทำให้เครือข่ายเกษตรกรจำนวนมากไม่ให้ความร่วมมือหรือสนใจโครงการรับซื้อยางในขณะนี้