- 09 ก.พ. 2559
บรรทัด..ต่อบรรทัด !! เปิดเอกสาร DSI ชี้มูลความผิด "ธัมมชโย" สู่เส้นทางการขาดจากความเป็นพระ !!
จากกระบวนการพิจารณาความผิดที่กล่าวไปแล้วนั้นคงต้องติดตามว่า กรมสอบสวนคดีพิเศษเป็นอีกหนึ่งหน่วยงานที่ออกมาวินิจฉัย คดีที่พระธัมมชโย ในประเด็นที่จะต้องพิจารณา
ซึ่งกรมสอบสวนคดีพิเศษ ได้ดำเนินการสืบสวนสอบสวนและรวบรวมพยานหลักฐานจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ ศาล สำนักงานอัยการสูงสุด สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ มหาเถรสมาคม กองบังคับการปราบปราม ผู้ตรวจการแผ่นดิน และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ซึ่งปรากฏข้อเท็จจริงดังต่อไปนี้
กรณีพระราชภาวนาวิสุทธิ์ (สมณศักดิ์ในขณะนั้น)หรือพระธัมมชโย (ไชยบูรณ์ ธัมมชโย)หรือ สุทธิผล เจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย ได้ถูกพนักงานสอบสวนกองปราบปรามแจ้งข้อกล่าวหาและสั่งฟ้องในฐานความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 147 และ 157 ในชั้นสอบสวน ผู้ต้องหาให้การปฎิเสธตลอดข้อกล่าวหา (พระราชภาวนาวิสุทธิ์ ผู้ต้องหาที่1,นายถาวร พรหมถาวร ผู้ต้องหาที่ 2 ) และชั้นพนักงานอัยการ ได้ตรวจสำนวนการสอบสวนแล้วมีความเห็นเด็ดขาดสั่งฟ้องผู้ต้องหาเป็นจำเลยต่อศาลอาญาในฐานความผิดข้างต้นตามความเห็นของพนักงานสอบสวน จำเลยให้การปฎิเสธตลอดข้อกล่าวหาและข้อสู้คดีในชั้นศาล โจทย์และจำเลยทั้งสองสืบพยานและต่อสู้คดีในชั้นศาลเป็นระยะเวลานานเกือบ 7 ปี ต่อมาพนักงานอัยการ ได้ยื่นคำร้องขอถอนฟ้องคดีต่อศาลอาญา
โดยให้เหตุผลสรุปได้ว่า จำเลยกับพวก ได้มอบทรัพย์สินทั้งหมด ซึ่งมีทั้งที่ดินและเงินอีกจำนวน 959,300,000 บาท คืนให้แก่วัดพระธรรมกาย การกระทำดังกล่าวของจำเลยจึงเป็นการปฏิบัติตามพระลิขิตของสมเด็จพระสังฆราช โดยครบถ้วนทุกประการแล้วและขณะนี้บ้านเมืองต้องร่วมกันสร้างความสามัคคีของตนในชาติทุกหมู่เหล่า เห็นว่าหากดำเนินคดีกับจำเลยทั้งสองต่อไป อาจก่อให้เกิดความแตกแยกในศาสนาจักร โดยเฉพาะในเหล่าพระภิกษุ สามเณร และประชาชนทั้งในและต่างประเทศที่นับถือศาสนาพุทธและไม่เป็นประโยชน์แก่สาธารณะนั้น
ขณะเดียวกันการกระทำของพระธัมมชโย กรมสอบสวนคดีพิเศษ ระบุเอาไว้ว่า จำเลยในคดีดังกล่าวถือว่าเป็นการกระทำที่ครบองค์ประกอบความผิดฐาน “เป็นเจ้าพนักงานผู้มีหน้าที่ทำจัดการหรือรักษาทรัพย์ใด เบียดบังทรัพย์นั้น เป็นของตนเองหรือเป็นของผู้อื่นโดยทุจริต” และ “เป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติและละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริตและโดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด”
ซึ่งพระธัมมชโย และกระทำผิด ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 147 และ 157 แม้ในภายหลังจำเลยในคดีดังกล่าวจะนำทรัพย์ที่ได้ยักยอกไปแล้วมาคืนให้แก่วัดพระธรรมกายก็ตาม การกระทำดังกล่าวก็เป็นเพียงการพยายามบรรเทาผลร้ายแห่งความผิดที่ได้กระทำลงไป เพียงเหตุก็เพราะต้องยอมจำนนต่อพยานหลักฐานเท่านั้นหาใช่ไม่เป็นความผิดก็หาไม่ ประการที่สำคัญที่สุดจะเป็น
เพราะฉะนั้น เครื่องชี้และยืนยันการกระทำของพระธัมมชโยว่ามีเจตนาในการกระทำผิดหรือไม่นั้น พิจารณาได้จากการได้มาซึ่งที่ดินที่มีข้อพิพาทในคดีนี้แทบทุกรายการนั้นเกิดจากการให้ตัวแทนไปติดต่อขอซื้อที่ดินจากเจ้าของที่ดินโดยตรงแทบทั้งสิ้นไม่ได้เกิดจากการที่เจ้าของยินยอมยกที่ดินให้กับทางวัดหรือบริจาคเงินให้ทางวัดเพื่อไปซื้อที่ดินให้กับพระธัมมชโยเป็นการส่วนตัวแต่ประการใด โดยเมื่อซื้อแล้วพระธัมมชโยก็ได้อนุมัติให้เบิกจ่ายเงินในบัญชีของวัดพระธรรมกายไปซื้อที่ดินดังกล่าวและกลับใส่ชื่อของตัวเองแทนที่จะเป็นชื่อของวัดเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์
และการที่จำเลยไม่ยินยอมมอบคืนที่ดินให้กับทางวัดโดยทันทีตามพระลิขิตของพระสังฆราช ที่ว่า “ส่วนที่มิใช่เป็นการลงโทษ แต่เป็นการทำที่ถูกต้อง คือต้องมอบสมบัติทั้งหมดที่เกิดขึ้นในขณะเป็นพระ ให้แก่วัดทันทีไม่คิดให้โทษ เพราะคิดในแง่ยกประโยชน์ให้ ว่าในชั้นต้นอาจมิใช่มีเจตนาถือเอาสมบัติของวัดเป็นของตนจริงๆ แต่เมื่อถึงอย่างไรก็ไม่ยอมมอบคืนสมบัติทั้งหมดที่เกิดขึ้นในขณะเป็นพระให้แก่วัด ก็แสดงชัดแจ้ง ว่าต้องอาบัติปาราชิก ต้องพ้นจากความเป็นสมณะโดยอัตโนมัติ ต้องถูกจัดการอย่างเด็ดขาด”
แต่พระธัมมชโยยังกลับประวิงเวลาไม่ยินยอมมอบคืนทรัพย์สินให้กับทางวัด กลับต่อสู้คดีทางศาลโดยคิดว่าจะชนะคดี การต่อสู้ในเรื่องนี้ใช้เวลาอย่างยาวนานถึง ๗ ปี จำเลยรู้อยู่แล้วว่าเรื่องนี้ไม่มีหนทางใดที่จะชนะคดีได้ มีเพียงหนทางเดียวเท่านั้น ที่จะทำให้พนักงานอัยการถือเอาเป็นสาเหตุในการขอถอนฟ้องคดีในเรื่องนี้ได้ จะเลยจึงยินยอมมอบคืนทรัพย์สินที่มีข้อพิพาทให้กับทางวัด พนักงานอัยการจึงถือเอาเป็นเหตุในการขอถอนฟ้องดังกล่าวข้างต้น การกระทำเช่นนี้ของพระธัมมชโยฯกับพวก เป็นการกระทำที่มีเจตนาในการกระทำความผิด ไม่อาจทำให้การกระทำความผิดที่สำเร็จไปแล้วกลับกลายมาเป็นไม่มีความผิดไปได้
เพราะฉะนั้นการกระทำของพระธัมมชโยจะเข้าข่ายที่จะต้องปาราชิก อย่างไรนั้น จดหมายของ ดีเอสไอก็ได้ระบุถึง พระไตรปิฎกภาษาไทยข้อที่ ๙๑ แสดงพุทธบัญญัติของปาราชิกสิกขา
พระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณ์ราชวิทยาลัย เล่มที่ ๑ พระวินัยปิฎกมหาวิภังค์ภาค ๑ หน้า ๘๐ ข้อที่ ๙๑ แสดงพุทธบัญญัติของปาราชิกสิกขาบทที่ ๒ ไว้ว่า
“อนึ่ง ภิกษุใดถือเอาทรัพย์ที่เจ้าของมิได้ให้โดยส่วนแห่งจิตคิดลัก จากหมู่บ้านก็ตาม จากป่าก็ตาม มีมูลค่าเท่ากับอัตราโทษที่พระราชาทั้งหลายจับโจรได้แล้ว ประหารบ้าง จองจำบ้าง เนรเทศบ้าง บริภาษว่า “เจ้าเป็นโจร เจ้าเป็นคนพาล เจ้าเป็นคนหลง เจ้าเป็นขโมย”ดังนี้ เพราะถือเอาทรัพย์ที่เจ้าของมิได้ให้เช่นใด ภิกษุผู้ถือเอาทรัพย์ที่เจ้าของไม่ได้ให้เช่นนั้น แม้ภิกษุนี้ก็ปาราชิก หาสังวาสมิได้” เปรียบเหมือนใบไม้ที่หลุดจากต้นแล้วไม่อาจกลับคืนมาดังเดิมได้
และในพระลิขิตของพระสังฆราชฯ(ฉบับที่ ๓) ยังได้ยืนยันการกระทำความผิดเช่นนี้ไว้อย่างชัดเจนและสอดคล้องต้องกันว่า ส่วนที่ไม่ใช่การลงโทษ เพราะคิดในแง่ยกประโยชน์ให้ว่า อาจมิใช่มีเจตนาถือเอาสมบัติวัดเป็นของตนแต่เมื่อถึงอย่างไรก็ไม่ยอมมอบคืนสมบัติทั้งหมดที่เกิดขึ้นในขณะที่เป็นพระ ก็แสดงชัดแจ้งว่า ต้องอาบัติปาราชิก ต้องพ้นจากความเป็นสมณะโดยอัตโนมัติ ต้องถูกจัดการอย่างเด็ดขาด เช่นเดียวกับผู้ไม่ใช่พระปลอมเป็นพระ ทำความเศร้าหมองเสื่อมเสียให้แก่พระสงฆ์ในพระพุทธศาสนา (ภายหลังยอมมอบคืนให้ก็เพราะจำนนต่อพยานหลักฐานจึงยินยอมมอบคืน)
นอกจากนี้ยังมีพระลิขิตของสมเด็จพระสังฆราชฯ(ฉบับที่ ๔)มีข้อความว่า การโกงสมบัติผู้อื่น ตั้งแต่ ๕ มาสกขึ้นไป คือ ประมาณไม่ถึง ๓๐๐ บาท ในปัจจุบันภิกษุต้องอาบัติปาราชิก ฐานผิดพระธรรมวินัย พ้นจากความเป็นพระทันทีในกรณีนี้ไม่ว่าจะมีผู้รู้เห็นหรือไม่ ไม่ว่าจะมีการสั่งให้สึก ไม่ว่าจะมีการจับสึกหรือไม่ก็ตาม ภิกษุผู้ละเมิดพระธรรมวินัยข้อนี้ต้องอาบัติปาราชิก พ้นจากความเป็นพระโดยอัตโนมัติแล้ว
ทั้งนี้ ก่อนที่จะมีการนำเสนอพระลิขิต(คำสั่ง)ของสมเด็จสังฆราชฯ วัดพระธรรมกายได้เกิดเรื่องอื้อฉาวขึ้นมากมายหลายเรื่องโดยมีเอกชนเป็นโจทย์ยื่นฟ้องเจ้าอาวาสวัดพระธรรมกายจึงมีเรื่องที่จะต้องตรวจสอบ ซึ่งก็ได้มีการนำข้อมูลเสนอต่อที่ประชุมมหาเถรสมาคม มาตามลำดับ
วันที่ ๒๒ มีนาคม ๒๕๔๒ ที่ประชุมมีมติเห็นชอบตามที่พระพรหมโมลีเสนอมานั้นชอบแล้ว โดยเสนอแนะให้วัดพระธรรมกายดำเนินการตามคำแนะนำ ๔ ประการ คือ
๑.ให้วัดพระธรรมกายมีการเรียนการสอนพระอภิธรรม...
๒.ให้วัดพระธรรมกายมีการปฏิบัติบำเพ็ญวิปัสสนากรรมฐานเพื่อให้ผู้ปฏิบัติบรรลุถึงพระวิปัสสนาญาณตามลำดับชั้น ซึ่งปรากฏมีตามพระคัมภีร์พระพุทธศาสนา....
๓.ให้วัดพระธรรมกายสำรวมระวังในพระธรรมวินัยอย่างเคร่งครัด
๔.ให้วัดพระธรรมกายปฏิบัติตามกฎมหาเถรสมาคม ข้อบังคับ ระเบียบ คำสั่งมติ ประกาศพระบัญชาสมเด็จพระสังฆราชโดยเคร่งครัดเป็นพิเศษ ทั้งนี้เพื่อความสงบเรียบร้อยดีงามของวัดและพระพุทธศาสนา
วันที่ ๕ เมษายน ๒๕๔๒ กรมการศาสนาได้นำพระราชดำริสมเด็จพระสังฆราชที่ทรงมีดำริเพิ่มเติม (กรณีเจ้าอาวาสวัดพระธรรมกายต้องอาบัติปาราชิก) เข้าสู่ที่ประชุมมหาเถรสมาคมพิจารณาและที่ประชุมมีมติมอบเอกสารให้เจ้าคณะภาค ๑ พิจารณา
วันที่ ๔ พฤษภาคม ๒๕๔๒ กระทรวงศึกษาธิการ โดยกรมการศาสนาในขณะนั้นได้รายงานเกี่ยวกับวัดพระธรรมกายต่อที่ประชุมคณะรัฐมนตรี ซึ่งคณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบและให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับไปดำเนินการในปัญหาวัดพระธรรมกาย ดังนี้
(๒)ให้กรมการศาสนา กระทรวงศึกษาธิการ(ขณะนั้น)ดำเนินการทุกวิถีทางเพื่อสนองพระบัญชาพระสังฆราชและรับสนองงานตามมติมหาเถรสมาคม
หากดูจากข้อเท็จจริงและข้อกฎหมาย ที่ประชุมเถรสมาคม ยังไม่ได้มีมติตัดสินหรือรับรองว่าพระราชภาวนาวิสุทธิ์(สมณศักดิ์ในขณะนั้น)หรือพระธัมมชโย (เจ้าอาวาสวัดพระธรรมกายต้องอาบัติปาราชิกตามพระฃิขิตของสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราชสกลมหาสังฆปรินายก ตามเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อปี พ.ศ.๒๕๔๒ แต่อย่างใด เพียงแต่มีมติรับทราบ เท่านั้น
เพราะฉะนั้นสำนักพุทธ ต้องเสนองานกับคณะสงฆ์เพื่อให้ดำเนินการให้ถูกต้องครบถ้วนตามกฎหมาย หากปล่อยปละหรือละเลยไม่ถือปฏิบัติตามอำนาจหน้าที่อาจจะมีส่วนในการถูกพิจารณาความผิดในทางอาญาฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบต่อไปได้
และที่สำคัญถ้าหากเปิดข้อกฎหมายดูแล้ว ก็จะพบว่าทั้ง 2 องค์กรปกครองฝ่ายสงฆ์หากไม่ดำเนินการจะมีพฤติการณ์ละเว้นการปฏิบัติหน้าที่
พระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. ๒๕๐๕
แก้ไขเพิ่มเติมโดย
พระราชบัญญัติคณะสงฆ์ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๓๕
หมวด 2 มหาเถรสมาคม
มาตรา ๑๕ ทวิ มหาเถรสมาคมมีอำนาจหน้าที่ดังต่อไปนี้
(๑) ปกครองคณะสงฆ์ให้เป็นไปโดยเรียบร้อยดีงาม
(๒) ปกครองและกำหนดการบรรพชาสามเณร
(๓) ควบคุมและส่งเสริมการศาสนศึกษา การศึกษาสงเคราะห์ การเผยแผ่ การสาธารณูปการ และการสาธารณสงเคราะห์ของคณะสงฆ์
(๔) รักษาหลักพระธรรมวินัยของพระพุทธศาสนา
(๕) ปฏิบัติหน้าที่อื่น ๆ ตามที่บัญญัติไว้ในพระราชบัญญัตินี้หรือกฎหมายอื่น
เพื่อการนี้ ให้มหาเถรสมาคมมีอำนาจตรากฎมหาเถรสมาคม ออกข้อบังคับ วางระเบียบ ออกคำสั่ง มีมติหรือออกประกาศ โดยไม่ขัดหรือแย้งกับกฎหมายและพระธรรมวินัยใช้บังคับได้และจะมอบให้พระภิกษุรูปใดหรือคณะกรรมการหรือคณะอนุกรรมการตามมาตรา ๑๙ เป็นผู้ใช้อำนาจหน้าที่ตามวรรคหนึ่งก็ได้
มาตรา ๑๕ จัตวา เพื่อรักษาหลักพระธรรมวินัยและเพื่อความเรียบร้อยดีงามของคณะสงฆ์ มหาเถรสมาคมจะตรากฎมหาเถรสมาคม เพื่อกำหนดโทษหรือวิธีลงโทษทางการปกครอง สำหรับพระภิกษุและสามเณรที่ประพฤติให้เกิดความเสียหายแก่พระศาสนาและการปกครองคณะสงฆ์ก็ได้
พระภิกษุและสามเณรที่ได้รับโทษตามวรรคหนึ่ง ถึงขั้นให้สละสมณเพศต้องสึกภายในสามวันนับแต่วันทราบคำสั่งลงโทษ
หมวด ๔ นิคหกรรมและการสละสมณเพศ
มาตรา ๒๔ พระภิกษุจะต้องรับ นิคหกรรม ก็ต่อเมื่อกระทำการล่วงละเมิด พระธรรมวินัย และนิคหกรรมที่จะลงแก่พระภิกษุก็ต้องเป็นนิคหกรรมตามพระธรรมวินัย
มาตรา ๒๕ ภายใต้บังคับมาตรา ๒๔ มหาเถรสมาคมมีอำนาจตรากฎมหาเถรสมาคมกำหนดหลักเกณฑ์และวิธิการปฏิบัติ เพื่อให้การลงนิคหกรรมเป็นไปโดยถูกต้อง สะดวก รวดเร็ว และเป็นธรรม และให้ถือว่าเป็นการชอบด้วยกฎหมายที่มหาเถรสมาคมจะกำหนดในกฎมหาเถรสมาคม ให้มหาเถรสมาคมหรือพระภิกษุผู้ปกครองสงฆ์ตำแหน่งใดเป็นผู้มีอำนาจลงนิคหกรรมแก่พระภิกษุผู้ล่วงละเมิดพระธรรมวินัย กับทั้งการกำหนดให้การวินิจฉัยการลงนิคหกรรมให้เป็นอันยุติในชั้นใด ๆ นั้นด้วย
มาตรา ๒๖ พระภิกษุรูปใดล่วงละเมิดพระธรรมวินัย และได้มีคำวินิจฉัยถึงที่สุดให้ได้รับนิคหกรรมให้สึก ต้องสึกภายในยี่สิบสี่ชั่วโมงนับแต่เวลาที่ได้ทราบคำวินิจฉัยนั้น
มาตรา ๒๗ เมื่อพระภิกษุใดต้องด้วยกรณีข้อใดข้อหนึ่ง ดังต่อไปนี้
(๑) ต้องคำวินิจฉัยตามมาตรา ๒๕ ให้รับนิคหกรรมไม่ถึงให้สึกแต่ไม่ยอมรับนิคหกรรมนั้น
(๒) ประพฤติล่วงละเมิดพระธรรมวินัยเป็นอาจิณ
ให้พระภิกษุรูปนั้นสละสมณเพศตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่กำหนดในกฏมหาเถรสมาคม
พระภิกษุผู้ต้องคำวินิจฉัยให้สละสมณเพศตามวรรคสอง ต้องสึกภายในสามวันนับแต่วันที่ได้รับทราบคำวินิจฉัยนั้น
เพียงแค่นี้ก็ชัดเจนแล้วว่า มหาเถรสมาคมมีอำนาจเต็มที่จะสั่งการหรือดำเนินการเรื่องใดๆให้เป็นไปตามความเรียบร้อยและหลักพระธรรมวินัย มิหนำซ้ำยังมีการออกกฎมส.มาสำทับเข้าไปอีกดังนี้ แต่ที่ผ่านมากลับเพิกเฉยและไม่ดำเนินการ ให้เป็นไปตามพรบ.คณะสงฆ์
นิคหกรรม (อ่านว่า นิก-คะ-หะ-กำ) แปลว่า การข่ม เป็นวิธีการลงโทษภิกษุตามพระธรรมวินัยเพื่อให้เข็ดหลาบ นิคหกรรม ใช้สำหรับลงโทษภิกษุผู้ทำเสียหาย เช่นก่อการทะเลาะวิวาทบาดหมาง ทำความอื้ฉาว มีศีลวิบัติ ติเตียนพระรัตนตรัย เล่นคะนอง ประพฤติอนาจาร ลบล้างพระบัญญัติ ประกอบมิจฉาชีพเป็นต้น
นิคหกรรม เป็นกิจที่พึงทำอย่างหนึ่งของผู้ปกครองหมู่คณะ เป็นคำคู่กับปัคหะคือการยกย่อง ทั้งสองอย่างนี้เป็นเครื่องมือในการปกครอง มีความสำคัญเท่าๆ กัน
ทั้งนี้เพื่อความอยู่ผาสุกแห่งสงฆ์ เมื่อมีผู้ประพฤติมิชอบ สมควรแก่นิคหกรรม พระพุทธเจ้าก็ทรงประทานอนุญาตให้สงฆ์ทำนิคหกรรมแก่ผู้นั้นตามพระธรรมวินัย
นิคหกรรม ในปัจจุบัน มีกฎของคณะสงฆ์เพื่อการนี้เรียกว่า กฎนิคหกรรม แต่ใช้ในกรณีความผิดที่ร้ายแรง หรือ คุรุกาบัติ และต้องเป็นไปตามพระธรรมวินัยเท่านั้น
นิคหกรรม ที่ระบุไว้ในพระธรรมวินัยมี 6 วิธี คือ
ตัชนียกรรม ข่มไว้ด้วยการตำหนิโทษ
นิยสกรรม ถอดยศ ทำให้หมดอำนาจหน้าที่
ปัพพาชนียกรรม ขับไล่ออกจากหมู่คณะ ให้สึก
ปฏิสารณียกรรม บังคับให้ขอขมาเมื่อล่วงเกินคฤหัสถ์
อุกเขปนียกรรม ตัดสิทธิ์ที่จะพึงได้บางอย่าง
ตัสสาปาปิยสิกากรรม ลงโทษหนักกว่าความผิดฐานให้การกลับไปกลับมา
เพราะฉะนั้นต้องจับตาดูว่าการประชุมในวันที่ 10 กุมภาพันธ์ นี้จะนำไปสู่ข้อสรุปมหาเถรสมาคมได้หรือไม่



