สื่อนอกปลุกกระแสยิ่งลักษณ์ เกี่ยวโยงล็อบบี้ยิสต์!? -"บิ๊กตู่" แนะวาเลนไทน์ปีนี้ ชายควรให้เกียรติหญิง!

ติดตามข่าวสารเพิ่มเติมได้ที่ www.tnews.co.th

 


นอกเหนือจากปรากฏการณ์ที่ถูกจับตามองว่าการเผยแพร่บทสัมภาษณ์น.ส.ยิ่งลักษณ์  ชินวัตร  ของสื่อต่างประเทศอย่าง เดอะ เสตรทส์ ไทมส์ และ เดอะวอลล์สตรีท เจอร์นัล ในช่วงที่กระบวนการพิจารณาความผิดทางแพ่งนโยบายรับจำนำข้าวมีความคืบหน้าเป็นลำดับ มีนัยยะทางการเมืองไม่ปกติธรรมดาแล้ว

 

 

 

 

 


ถ้อยคำสัมภาษณ์ของน.ส.ยิ่งลักษณ์ ผ่านสื่อต่างประเทศ ในบางช่วงบางตอนยังมีข้อบ่งชี้ว่า ครอบครัวชินวัตรจะยังคงเคลื่อนไหวทางการเมืองผ่านพรรคเพื่อไทยต่อไปในการเลือกตั้งที่จะเกิดขึ้นในปี  2560   แม้ว่าน.ส.ยิ่งลักษณ์จะต้องเผชิญกับวิบากกรรมสำคัญในคดีรับจำนำข้าว


เมื่อวันที่ 12 ก.พ. ในช่วงระหว่างการเดินทางไปเป็นประธานพิธีลงนามความร่วมมือทางวิชาการ และงานวิจัยระหว่างมหาวิทยาลัยชินวัตร และสภาวิจัยแห่งอิตาลี   น.ส.ยิ่งลักษณ์  ปฏิเสธที่จะตอบคำถามเกี่ยวกับการเปิดเผยแนวทางการสรุปความผิดจากการดำเนินนโยบายรับจำนำข้าว   ของ  นายจิรชัย  มูลทองโร่ย   รองปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี    ในฐานะ   ประธานคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริง  ความรับผิดทางละเมิดจากโครงการรับจำนำข้าว   โดยพูดเพียงสั้น ๆ ว่า จะให้ความเห็นเรื่องนี้ในวันที่  17 กุมภาพันธ์  ที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง


ซึ่งในวันที่ 17 กุมภาพันธ์ที่จะถึงนี้ ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ได้กำหนดให้ไต่สวนพยานฝ่ายอัยการนัดที่ 2 ในคดีที่อัยการสูงสุดยื่นฟ้อง น.ส.ยิ่งลักษณ์ ปฏิบัติหน้าที่มิชอบ  ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 และ พ.ร.บ.ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2542 มาตรา 123/1 ที่ละเลยไม่ยับยั้งโครงการรับจำนำข้าว ส่งผลให้รัฐเสียหายกว่า 5 แสนล้านบาท


ขณะที่ทางฝากฝั่งของพรรคเพื่อไทยก็ได้ออกมาแสดงความคิดเห็นถึงประเด็นที่น.ส.ยิ่งลักษณ์ อดีตนายกรัฐมนตรี ได้ให้สัมภาษณ์กับสื่อต่างประเทศ


นายอนุสรณ์ เอี่ยมสะอาด รักษาการรองโฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าวถึงกรณี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) ระบุมีคนไปพูดกับสื่อต่างประเทศทำชาติเสียหาย ว่า ไม่แน่ใจว่าท่านผู้นำหมายถึงใคร หรือเหตุการณ์ใด แต่ถ้าหมายถึง น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ที่ให้สัมภาษณ์สื่อต่างประเทศก็ไม่รู้ว่าท่านได้อ่านบทสัมภาษณ์ดังกล่าวด้วยตัวเองทั้งหมด หรือมีคนแปลให้ท่านอ่าน ซึ่งหากแปลผิด หรือแปลมาไม่ครบ ก็อาจทำให้เข้าใจคลาดเคลื่อนได้


คนที่เป็นถึงอดีตนายกรัฐมนตรีของประเทศมาจากการเลือกตั้งของประชาชน ย่อมสำนึกในความไว้วางใจของประชาชน ไม่ทำอะไรให้ประเทศชาติเสียหายแน่นอน ซึ่งถ้าไปตรวจดูเนื้อหา น.ส.ยิ่งลักษณ์ ก็ระมัดระวังท่าทีเห็นแก่ประโยชน์ของประเทศชาติตลอดมา


ขณะนายกิตติรัตน์ ณ ระนอง อดีตรองนายกฯ ได้โพสต์ข้อความ พร้อมคลิปวีดิโอลงบนเฟซบุ๊กส่วนตัว "Kittiratt Na-Ranong (กิตติรัตน์ ณ ระนอง)" ระบุภายหลังจากที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ได้เชิญสื่อมวลชนของสำนักข่าวต่างประเทศประจำประเทศไทย หลายสำนัก ไปพูดคุยที่บ้านพักซอยโยธินพัฒนา 3 ภายใต้หัวข้อ salad garden Theme โดยได้เปิดสวนผักปลอดสารพิษให้สื่อเข้าชม และโชว์การทำสลัดจากผักที่ปลูกในบ้านพักของตัวเองเมื่อวันที่12 ก.พ. ว่า


"ไปสวนผักบ้านท่านนายกฯ ฟังท่านสนทนากับสื่อมวลชน อย่างสุภาพทุกคำ ทั้งภาษาอังกฤษ และภาษาไทย ภูมิใจที่เคยเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของท่าน"


โดยกลุ่มสื่อที่ได้รับการประสานงานจากคนใกล้ชิดของน.ส.ยิ่งลักษณ์ให้เข้าสัมภาษณ์รอบล่าสุด  ประกอบด้วยสื่อระดับโลกอย่าง  Reuter AFP และ NHK   เป็นแกนหลัก  ร่วมกับสำนักข่าวอีกหลายสำนัก    และน.ส.ยิ่งลักษณ์ก็เปิดการให้สัมภาษณ์ในหลายประเด็น นอกเหนือจากการเกิดโอกาสให้คณะสื่อมวลชนได้ร่วมชมแปลงผักสลัด     เหมือนที่เคยทำไปแล้วกับทั้งสื่อไทยและเทศเมื่อวันที่  8 มกราคม  2559


และในการเปิดบ้านของ  น.ส.ยิ่งลักษณ์ให้สื่อมวลชนเข้าเยี่ยมชมแปลงผัก   เมื่อวันที่  8 มกราคม  2559    มีการนำเสนอผ่านสื่อมวลชนบางค่าย  ที่มีความสนิทสนมเป็นพิเศษ  รวมถึง   เดอะ เสตรทส์    ไทมส์    ซึ่งตีพิมพ์รายงานพิเศษในหัวข้อ  “Commoner” Yingluck still in focus    เมื่อวันที่ 11 มกราคม 2559  โดยผู้สื่อข่าวที่ชื่อ  TAN  HUI  YEE  ซึ่งบรรยายภาพลักษณ์ของน.ส.ยิ่งลักษณ์   ว่า  ถึงแม้จะต้องถูกกระทำโดยรัฐบาลทหาร   แต่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ยังคงถือเป็นสัญลักษณ์ทางการเมืองที่สำคัญ    โดยเฉพาะถ้าวัดจากแฟนเพจที่มากถึง   4.7 ล้าน   หรือ   คิดเป็นสองเท่าเมื่อเทียบกับแฟนเพจของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ   หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์


ซึ่งในการนำเสนอบทสัมภาษณ์พิเศษ  น.ส.ยิ่งลักษณ์  ของ    เดอะ เสตรทส์    ไทมส์    และมีการเผยแพร่เมื่อวันที่  11  กุมภาพันธ์   2559     ตามที่สำนักข่าวทินิวส์นำเสนอไปก่อนหน้า   นอกจากจะปรากฏว่าชื่อผู้สื่อข่าวซึ่งทำหน้าที่สัมภาษณ์พิเศษน.ส.ยิ่งลักษณ์  ว่าเป็น   TAN  HUI  YEE   แล้ว   สิ่งที่ปรากฏอยู่ในรายงานพิเศษชิ้นดังกล่าวก็คือการเน้นย้ำว่าทั้ง    นายทักษิณและน.ส.ยิ่งลักษณ์  ยังมีบทบาทสูงทางการเมืองของไทย   แม้ว่าจะถูกรัฐบาลทหารปิดกั้นการเคลื่อนไหวทางการเมืองอย่างชัดเจน   จนนำมาสู่ข้อความที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ตอบคำถาม      เดอะ เสตรทส์    ไทมส์  ด้วยความมั่นใจอนาคตทางการเมืองของพรรคไทยรักไทย  ภายใต้การสนับสนุนของครอบครัวชินวัตร    ว่า  "พรรคเพื่อไทยจะยังคงได้รับการสนับสนุนจากประชาชน  ที่สนับสนุนพรรคเพื่อไทยต่อไปอย่างไม่เปลี่ยนแปลง"


และด้วยปรากฏการณ์ที่มีความเคลื่อนไหวในเชิงรุกผ่านสื่อต่างประเทศ โดยน.ส.ยิ่งลักษณ์  ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าย่อมหนีไม่พ้นการตั้งข้อสังเกตว่า สิ่งที่เกิดขึ้นมีมุมการทำหน้าที่ของสื่อมวลชนในแฝงเร้นหรือไม่อย่างไร 


เนื่องจากก่อนหน้านี้กรณีที่มีการส่งจดหมายของสมาชิกสภายุโรป 2 ราย คือ นายแวร์นาร์ แลเนิน  (Werner Langan) กับนายเอลมาร์ โบรค (Elmer Brok) จริง เพื่อเชิญน.ส.ยิ่งลักษณ์ ไปแลกเปลี่ยนความคิดเห็นเกี่ยวกับสถานการณ์ในประเทศไทย ที่กรุงบรัสเซลส์ ประเทศเบลเยียม หรือเมืองสตาร์สบูร์ก ประเทศฝรั่งเศส ในช่วงที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ กำลังจะเข้าสู่กระบวนการพิจารณาของศาลฎีกาแผนกคคีอาญาผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ในคดีปล่อยปะละเลยให้เกิดความเสียหายในการดำเนินนโยบายรับจำนำข้าว ก็เคยถูกตั้งข้อสงสัยจากกระทรวงต่างประเทศไทยมาแล้วว่า เป็นการดำเนินการโดยล็อบบี้ยิสต์เพื่อสร้างสถานการณ์  หรือเปิดช่องให้น.ส.ยิ่งลักษณ์ลี้ภัยไปต่างประเทศหรือไม่


ด้วยเนื้อหาของจดหมายฉบับดังกล่าวมีความไม่ปกติในหลายจุด  โดยเฉพาะ
ข้อสังเกตเรื่องการใช้คำว่า  “Khun” นำหน้าชื่อน.ส.ยิ่งลักษณ์ แทนที่จะใช้คำว่า"Miss" นายดอน กล่าวว่า ถ้าใช้คำว่า“Khun”    แต่มีการอ้างอิงว่าจดหมายฉบับดังกล่าวมีที่มาจากรัฐสภายุโรป   และนำไปสู่การวินิจฉัยของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ไม่อนุญาตให้น.ส.ยิ่งลักษณ์เดินทางออกนอกประเทศตามคำร้องขอ


ขณะเดียวกันกับกระบวนการใช้ล็อบบี้ยิสต์เคลื่อนไหวทางการเมืองของน.ส.ยิ่งลักษณ์นี้จะเป็นไปได้หรือไม่อย่างไร ก็มีข้อพิจารณาเปรียบเทียบกับสิ่งที่ปรากฏกับนายทักษิณ ชินวัตร ตามที่สำนักข่าวทีนิวส์เคยนำเสนอก่อนหน้านี้


โดยเฉพาะการอ้างอิงบทความของ  นายเควิน โบการ์คัส  ที่กล่าวหาว่า  นายทักษิณ เคยว่าจ้างบริษัทล็อบบี้ และสำนักกฎหมาย 3 บริษัท ได้แก่

1.บริษัท เบอร์เกอร์ กริฟฟิช แอนด์ โรเจอร์
2.บริษัทบรัทโคเบอร์ แอนด์ คิม
3.บริษัท อัมสเตอร์ดัม แอนด์ เพอร์รอฟฟ์


ทำหน้าที่ดำเนินรวบรวมข้อมูลเหตุการณ์การชุมนุมของมวลชนคนเสื้อแดง เมื่อปี  2553 แล้วนำเสนอรายละเอียดออกไปสู่สาธารณเป็นข้อสรุปว่าสถานการณ์ความเลวร้ายที่เกิดขึ้นจากการบาดเจ็บล้มตายของประชาชนเป็นผลมาจากการที่ทหารลงมือทำร้ายมวลชนเสื้อแดง


ไม่เท่านั้นบทความที่นำเสนอโดย นาย เควิน โบการ์คัส  ยังกล่าวอ้างด้วยว่า "สัญญาที่กระทำขึ้นระหว่างนายทักษิณกับบริษัทล็อบบี้และสำนักงานกฎหมายอเมริกัน มีวัตถุประสงค์หลัก คือ การรักษาสัมพันธ์กับกลุ่มนักการทูต และนักการเมืองอเมริกัน ด้วยคาดหวังให้เกิดอิทธิพลกดดันการเมืองภายในประเทศไทย"


นอกจากนี้   นาย เควิน โบการ์คัส   ได้แจกแจงการทำหน้าที่ของล็อบบี้ยิสต์ทั้ง  3   ว่า ในส่วนของ   เบอร์เกอร์ กริฟฟิช แอนด์ โร  "มีหน้าที่ให้คำปรึกษาและข้อมูลเกี่ยวกับทักษิณ ให้กับผู้บริหารในรัฐบาลสหรัฐฯ และวุฒิสมาชิกสหรัฐฯ เพื่อสร้างนโยบายสนับสนุนทักษิณเพื่อการพัฒนา และส่งเสริมการปกครองระบอบประชาธิปไตยในประเทศไทย"


ส่วนผู้รับผิดชอบโครงการนี้ คือ นายสตีเฟน เมคเกอร์ อดีตผู้อำนวยการด้านความมั่นคงของวุฒิสมาชิกเสียงข้างมากพรรครีพับลิกัน นายบิล ฟริสต์ และอีกหลายคน รวมทั้งนางฮิลลารี คลินตัน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ ขณะเป็นวุฒิสมาชิกรัฐสภานิวยอร์ก พรรคเดโมแครต


ด้านสำนักกฎหมายอัมสเตอร์ดัม แอนด์ เพอร์รอฟฟ์ และโคเบอร์ แอนด์ คิม มีหน้าที่แนะนำหาช่องทางให้ทักษิณเข้าถึงวุฒิสมาชิกในรัฐสภาสหรัฐฯ และผู้นำประเทศต่างๆ ที่เป็นประโยชน์ต่อการโฆษณาชวนเชื่อเกี่ยวกับความสามารถทางธุรกิจและอิทธิพลทางการเมืองของนายทักษิณ


โดยความคาดหวังของนายทักษิณต่อบริษัทล็อบบี้ที่ว่าจ้างนั้น   นาย เควิน โบการ์คัส   เชื่อว่า  มีวัตถุประสงค์ที่จะกดดันให้ประเทศไทยยอมรับหลักการปรองดองที่นายทักษิณและรัฐบาลนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตรในขณะนั้นกำลังดำเนินกลยุทธ์ให้เกิดนำไปสู่การเปิดทางให้นายทักษิณกลับประเทศได้


 


วาเลนไทน์ปีนี้ "พ่อ-แม่" คือต้นแบบที่ดีของความรัก


ทุกครั้งที่ถึงเดือนกุมภาพันธ์สำนักโพลต่างๆ มักจะออกมาทำการสำรวจความคิดเห็นของประชาชน โดยเฉพาะเยาวชนที่มีต่อ "วันวาเลนไทน์"


อย่างเช่น กระทรวงวัฒนธรรม ร่วมกับ สวนดุสิตโพล สำรวจความคิดเห็นของประชาชนทั่วประเทศ จำนวน 3779 คน ถึงวันวาเลนไทน์14 กุมภาพันธ์ "วันแห่งความรัก" ระหว่างวันที่ 7 - 27 มกราคม 2559


พบว่า ประชาชนร้อยละ 75.91 จะบอกรักด้วยตนเองเพราะประหยัดและเสียค่าใช้จ่ายน้อยที่สุด ขณะที่ร้อยละ 74.95 ให้ดอกกุหลาบสีแดง รองลงมาร้อยละ 73.48 จะบอกรักบอกรักทางอินเทอร์เน็ต Facebook Twitter หรือ Skype ขณะที่ร้อยละ 72.57 บอกรักโดยส่ง SMS, MMS, หรือ Line


ทั้งนี้ ประชาชนร้อยละ 78.27% บอกรักอย่างมีเหตุผล ใช้สติ รู้จักคิด โดยยึดถือประเพณีไทยหรือความเชื่อตามหลักศาสนาที่ตนเองนับถือและเคารพ นอกจากนี้ร้อยละ 77.40 ยกเป็นต้นแบบที่ดีความรักมาจากพ่อแม่


ส่วนวิธีการป้องกันไม่ให้เกิดเหตุการณ์มีเพศสัมพันธ์ก่อนวัยอันควรในวันวาเลนไทน์ อันดับ 1 ร้อยละ 64.86 ไม่เปิดโอกาส ให้ตนเองอยู่ในพื้นที่เสี่ยง เช่น อยู่ลำพัง 2 คน กลับบ้านดึก เข้าซอยเปลี่ยว รองลงมาร้อยละ 64.12 ไม่มั่วสุมดื่มสุรา เสพสารเสพติดเพราะทำให้ขาดสติ ถูกมอมเมา ถูกล่อลวง และร้อยละ 60.70 พยายามยับยั้งชั่งใจและคิดถึงอนาคตของตนเอง


นอกจากนี้ศูนย์วิจัยกสิกรไทยเผยคนกรุงเทพฯกว่าครึ่งไม่สนทำกิจกรรมวันวาเลนไทน์ แนะผู้ประกอบการสร้างสินค้าแปลกใหม่ และเน้นการรับรู้ผลิตภัณฑ์ เพื่อกระตุ้นยอดขายในปัจจุบันและอนาคต


จากผลสำรวจของศูนย์วิจัยกสิกรไทย ระบุว่า คนกรุงเทพฯ กว่าร้อยละ 55 ของผู้ตอบแบบสอบถาม ไม่สนใจทำกิจกรรมในวันวาเลนไทน์ ซึ่งพฤติกรรมดังกล่าวมีทิศทางที่เปลี่ยนไปจากเดิมมาสักระยะหนึ่ง ซึ่งหนุ่มสาวรุ่นใหม่มองว่าการแสดงออกด้านความรัก มีความอิสระมากขึ้น ทำให้สามารถทำได้ในวันอื่นๆ ที่สะดวกและมีความสำคัญมากกว่า เช่น วันเกิด วันครบรอบ เป็นต้น ในขณะที่กลุ่มวัยทำงานก็ให้ความสำคัญลดน้อยลงไปจากข้อจำกัดด้านเวลา และภาระที่ต้องรับผิดชอบมากขึ้น


ผลสำรวจโดยศูนย์วิจัยกสิกรไทย ยังระบุอีกว่า คนกรุงเทพฯ ร้อยละ 61 ของผู้ตอบแบบสอบถาม เคยซื้อสินค้าและบริการที่ออกมาในช่วงวาเลนไทน์โดยไม่ตั้งใจ เนื่องจากการทำโปรโมชั่น ณ จุดขายของผู้ประกอบการ โดยเฉพาะสินค้าที่มีความแปลกใหม่ และเป็นรุ่นที่มีจำนวนจำกัด สะท้อนให้เห็นว่าการทำตลาดเพื่อกระตุ้นยอดขายยังเป็นตัวดึงเม็ดเงินเข้าธุรกิจ


ดังนั้น การปรับตัวของผู้ประกอบการควรหันมาเน้นตอบสนองความต้องการของลูกค้าที่เฉพาะเจาะจงมากขึ้น โดยใช้จุดขายด้านความแปลกใหม่ของสินค้าหรือสินค้าที่จัดทำขึ้นมาเป็นพิเศษเฉพาะในช่วงเทศกาล พร้อมๆ กับการนำเสนอบริการที่ช่วยอำนวยความสะดวกให้กับลูกค้า


ในขณะที่ธุรกิจร้านอาหารได้รับความสนใจสูง โดยเฉพาะกลุ่มคนวัยทำงานที่นิยมออกไปรับประทานอาหารนอกบ้าน ควรปรับกลยุทธ์การตลาดเพื่อดึงความสนใจจากลูกค้า ผ่านการสร้างบรรยากาศภายในร้านให้เข้ากับช่วงเทศกาล เช่นการจัด Zone ถ่ายรูปสวยๆ และการจัดสรรเมนูที่จัดทำขึ้นพิเศษเพื่อเทศกาลนี้ พร้อมกับนำเสนอโปรโมชั่นด้านราคา


ทั้งนี้ศูนย์วิจัยกสิกรไทย กล่าวถึงภาพรวมทั้งหมดว่า การทำตลาดเพื่อกระตุ้นยอดขายยังเป็นตัวดึงเม็ดเงินเข้าธุรกิจ อย่างไรก็ดี ความสำเร็จของการทำการตลาดของผู้ประกอบการในช่วงเทศกาลวาเลนไทน์ อาจไม่ได้มุ่งเป้าไปที่การเพิ่มยอดขายเพียงอย่างดียว แต่การสร้างคอนเทนต์หรือกิมมิก เพื่อประชาสัมพันธ์ให้สินค้าเป็นที่จดจำในวงกว้าง นับเป็นกลยุทธ์เสริมที่จะเข้ามาช่วยสร้างความแข็งแรงและอาจเพิ่มยอดขายให้กับธุรกิจได้ในระยะถัดๆ ไป


ขณะที่ทางด้านของ พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชาเตือนวันวาเลนไทน์ 2559 เตือนสติผู้หญิงต้องระวังตัว ผู้ชายต้องให้เกียรติอย่าเอารัดเอาเปรียบทำให้ประเพณีไทยเสียหาย


พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี กล่าวในรายการคืนความสุขให้คนในชาติว่า "วันแห่งความรัก" นี้ เป็นห่วงบรรดาวัยรุ่น คู่รักต่างๆ ระมัดระวังตัวเอง ไปเที่ยวอะไรต่างๆ


ผู้หญิงต้องระวังตัวมีคุณค่า ผู้ชายก็ให้เกียรติผู้หญิงบ้าง อย่าเอารัดเอาเปรียบ แล้วทำให้ประเพณีไทยเสียหาย เราไม่ใช่ต่างประเทศ วัฒนธรรมเราดีงาม สวยงาม


กระทรวงกลาโหม แต่งกลอนมอบเป็นของขวัญ เพื่อส่งมอบความรักให้เหล่าทหารทั่วประเทศ ใจความว่า สุขเถิดทหารกล้า ปวงประชาจะส่งใจ มอบรักและห่วงใย ด้วยใจปรารถนาดี สิบสี่กุมภาพันธ์ แบ่งปันรักให้น้องพี่ ให้พวกเขาเหล่านี้ "คนรักที่ไม่ถูกลืม"


ทั้งนี้ ยังจัดโครงการ 14 กุมภา วาเลนไทน์ บอกรักทหารให้ก้องโลก และชวนประชาชนร่วมส่งมอบความรักให้กับทหาร ในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ และทหารทั่วประเทศ ให้กลายเป็น "คนรักที่ไม่ถูกลืม"


เนื่องจากที่ผ่านมา ทหารถือเป็นผู้ที่เสียสละ เพื่อประชาชน โดยไม่หวังผลตอบแทน และทำหน้าที่ ด้วยคำมั่นสัญญาจากใจที่จงรักภักดี ซึ่งวิธีการส่งรักให้ทหาร สามารถส่งการ์ดวันวาเลนไทน์ สิ่งของ หรือสิ่งที่อยากส่งให้ ผ่านทางไปรษณีย์ทั่วประเทศ


ขณะที่กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี หรือปอท. ในฐานะผู้รับผิดชอบและดูแลการกระทำความผิดเกี่ยวเทคโนโลยีและคอมพิวเตอร์ ได้เดินหน้าแก้ปัญหาคดีหลอกรักออนไลน์ หรือ โรแมนซ์สแกม ที่สร้างความเสียหายแก่หญิงไทยเป็นจำนวนมากทำให้เหยื่อเกิดความเสียหายรวมกว่า 150 ล้านบาท


ติดตามสกู๊ป "ตำรวจไซเบอร์ เตือนภัย !! โรแมนซ์สแกม ใช้ความรักเป็นเหยื่อล่อ" ช่วงท้ายรายการกับ "นุชพร แฝดสูงเนิน"