ลุยเส้นทางสุดหฤโหด - สุดระทึก... ผ่าน - "กองกำลังชนกลุ่มน้อย" มุ่งสู่รัฐมอญ (ตอนที่ 1)

ติดตามข่าวสารเพิ่มเติมได้ที่ www.tnews.co.th

 

นี่คือ จุดเริ่มต้นของสภาพถนนสุดหฤโหด บริเวณตะเข็บชายแดนไทย พม่า ก่อนเข้าสู่พื้นที่เขตมอญ ขบวนรถออฟโรด  ได้นำทีมงานของเรา และเหล่านักของผจญภัยกว่า 20 ชีวิต มุ่งหน้าไปสู่รัฐมอญ เมืองเย เพื่อร่วมงานวันชาติมอญ  

 

 

 


แม้สภาพถนนจะยากลำบากเพียงใด และการนั่งอยู่ภายในรถจะแกว่งไปแกว่งมาก จนอวัยวะถูกเขย่า แทบจะละลายเข้าด้วยกัน แต่ทุกคนไม่ลดละ ยังคงบุกป่าฝ่าดงไปตามทางที่ขรุขระ สูงๆต่ำๆ  จนกระทั่งถึงเนินที่ทั้งสูงและชัน แถมเส้นทางยังเป็นหลุมเป็นบ่อ  ต่างจากเส้นทางที่ผ่านมา คนขับทุกคนใส่พลังเหยียบอย่างเต็มที่ จนเสียงเครื่องยนต์ดังลั่นป่า ทำให้รถหลายคันเริ่มมีปัญหา หัวหน้าคณะต้องสั่งหยุดพักชั่วคราว เพื่อตรวจสอบสภาพรถ และปรับสภาพร่างกายทั้งคนขับและผู้โดยสาร


หลังจากซ่อมแซมยานพาหนะและพักผ่อนเป็นที่เรียบร้อย พวกเราได้มุ่งหน้าต่อไป ยังพื้นที่ของรัฐมอญ โดยสภาพของถนนและภูมิประเทศ มีความยากลำบากในการเดินทางไม่น้อยกว่า เส้นทางที่ผ่านมา


ในที่สุดก็มาถึงด่านผ่านแดน แต่ขอสวงนไม่เปิดเผยจุดผ่านแดนเพื่อเหตุผลทางยุทธศาสตร์    และหลังจากได้ยื่นเอกสารกับทางเจ้าหน้าที่เรียบร้อยแล้ว ก็ได้เดินทางเข้าสู่พื้นที่รัฐมอญ  ผ่านหมู่ชาวมอญ ซึ่งโดยส่วนใหญ่เป็นบ้านไม้ มุงกระเบื้องบ้าง มุงจากบ้าง พร้อมประดับธงมอญสีแดงมีรูปหงส์สีเหลืองอยู่ตรงกลาง เรียงรายอยู่ 2 ข้างถนนแคบๆ และขรุขระเป็นหลุมเป็นบ่อจนทีมงานต้องใช้ความระมัดระวังในการขับขี่อย่างสูง  


เมื่อเข้าสู่รัฐมอญ จะเห็นได้ว่า สภาพความเป็นของชาวมอญ อยู่อย่างเรียบง่าย สภาพความเจริญแตกต่างจากประเทศไทยอย่างมาก ด้วยสภาพความน่าตื่นเต้น แม้ว่า สภาพถนนที่ขรุขระ และฟุ้งไปด้วยฝุ่น ก็ทำให้เราลืมความยากลำบากไปได้อย่างน่าประหลาดใจ


 

อย่างไรก็ตาม เส้นยังต้องผ่านลำธารด้วย และการเดินทางยังคงเต็มไปด้วยความยากลำบาก จนในที่สุดมาถึงจุดพักรถริมทาง ที่ปลูกแบบง่ายๆ และมีการจำหน่ายอาหารแบบข้าวแกงของมอญ และประเภทเครื่องดื่มพวกน้ำ และ น้ำอัดลม ซึ่งส่วนใหญ่นำเข้ามาจากฝั่งไทย


ในจุดนี้ ทหารมอญ ได้มารับขบวนของเรา เพื่อคุ้มกันความปลอดภัยตลอดเส้นทาง  หลังจากพักผ่อนรับประทานอาหาร พวกเราได้เริ่มเดินทางต่อ   โดยต้องผ่านพื้นที่ของรัฐชนกลุ่มน้อยกลุ่มอื่นๆ  ซึ่งได้รับการชี้แจงจากผู้ประสานงานว่า ได้มีการขออนุญาตผ่านทางแล้ว แต่ย่างไรก็ตาม ได้มีการทำความเข้าใจกันว่า เขารับประกันความปลอดภัยเพียง 80  % เท่านั้น ถ้าหากมีปัญหาอะไร  เพื่อความปลอดภัยให้เรารีบเดินทางกลับฝั่งไทยทันที 


ขบวนรถของเรามุ่งหน้า ผ่านเส้นทางที่ขรุขระ สูงๆต่ำๆ  และบางพื้นที่เป็นลำธาร  และสภาพอากาศค่อนข้างร้อน เมื่อเห็นลำธาร พวกเราไม่รีรอที่จะหยุด ล้างหน้าล้างตาเรียกความสดชื่นกลับมา แต่ก็ได้รับคำตักเตือนมาว่า ห้ามดื่มน้ำในลำธาร ในกรณีที่เป็นน้ำนิ่ง เพราะอาจจะมีเชื้อมาเลเลียปะปนอยู่


เมื่อเข้าสู่พื้นที่ของชนกลุ่มน้อย และถึงด่านตรวจของชนกลุ่มน้อย ขบวนของเราก็หยุดลงชั่วคราว เพราะเขาไม่ยอมให้ผ่านทาง ทำให้นายทหารมอญ ที่นำขบวนเราไปต้องเจรจา หลังจากเจรจาพักใหญ่ เขาก็ยอมอนุญาตให้เดินทางผ่านไปได้


ความรู้สึกของเราต้องนี้ คือ ต้องรีบให้ผ่านพื้นที่นี้ให้ไวที่สุด เพราะมีความรู้สึกว่า ไม่สู้จะปลอดภัย  เราเดินทางต่อไป ผ่านหมู่บ้านของชาวบ้านเป็นระยะๆ  สองข้างทางมีการปลูกยางพาราจำนวนมาก ดูบรรยากาศคล้ายๆ ภาคของไทย เพียงแต่สภาพภูมิประเทศจะมีเนินเขาสูงชันกว่า  ขบวนรถของเราทอดตัวไปตามถนนที่กำลังก่อสร้าง มีฝุ่นฟุ้งแทบมองไม่เห็นทาง สลับกับบางช่วงมีการนำหินบดมาเทไว้

 

แม้ว่า ทางจะเรียบกว่าเส้นทางที่ผ่านมาๆ มา แต่ฝุ่นหนา และความสูงชัน ทำให้การเราได้กลับมารับรู้ถึงความยากลำบากอีกครั้ง และรู้สึกเหนื่อยอ่อน จากแรงเหวี่ยงของรถ และท้องไส้เริ่มปั่นป่วนขึ้น


เรารู้สึกว่า ต้องดิ้นรนต่อสู้อย่างที่สุด เพื่อต้องการให้ผ่านจุดวิกฤตินี้ให้ได้ ในที่สุดเรามาถึงจุดพักรถ ซึ่งเป็นเพิงหลังคามุงจาก ปลูกง่ายๆ อยู่ริมถนน ซึ่งขายทั้งข้าวแกงของมอญ และพวกน้ำดื่ม ซึ่งเป็นสินค้าที่มาจากประเทศไทยหลัก เราได้มีโอกาสคุยกับวิน หนุ่มไทยเชื้อสายมอญ ที่ได้ภรรยาเป็นชาวมอญ และเป็นเจ้าของร้านดังกล่าว เขาได้เล่าถึงสภาพความอยู่ที่นี้ โดยบอกว่า ผู้เดินทางไปมาได้แนะนำว่า น่าจะเปิดร้านขายอาหารขึ้นมา จึงได้ลองดู  ซึ่งมีแนวโน้มที่ดี และในปัจจุบันมีการเปิดกว้างขึ้นมากสำหรับพื้นที่แถบนี้


นี่คือ การเดินทางของเรา ที่ผ่านมายังไม่ถึง 1 ใน 4 ของเส้นทาง และเส้นทางที่เหลือยังมีความลำบากมากกว่านี้อีก ทีมงานของเราจะเจอกับอะไรบ้างไว้พบกับตอนต่อไปวันพรุ่งนี้ครับ