- 08 มี.ค. 2559
ติดตามข่าวสารเพิ่มเติมได้ที่ www.tnews.co.th
ยังคงต้องเกาะติดอย่างใกล้ชิดสำหรับความชัดเจนเกี่ยวกับแนวทางการฟ้องร้องค่าเสียหายจากนโยบายรับจำนำข้าว โดยกระบวนการทางกฎหมายพ.ร.บ.ความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่รัฐ นอกจากคดีความอาญาซึ่งอยู่ในชั้นการไต่สวนพยานโจทก์และจำเลยซึ่งมีความคืบหน้าเป็นลำดับเช่นกัน
โดยกรณีการฟ้องเรียกค่าเสียหาย สำหรับผู้เกี่ยวข้องกับผู้มีส่วนร่วมทำให้ประเทศได้รับความเสียหายในกรณีดังกล่าว สามารถแยกได้เป็น 2 กลุ่มหลัก ตามห้วงระยะเวลาดำเนินการซึ่งถูกกำหนดโดยอายุความและมูลค่าจำนวนเงินที่อยู่ในข่ายต้องชดใช้คืนแผ่นดินแตกต่างกันตามมูลฐานความผิด
เริ่มจาก 1.กรณีระบายข้าวแบบรัฐต่อรัฐ (จีทูจี) ของนายบุญทรง เตริยาภิรมย์ อดีตรมว.พาณิชย์ และผู้เกี่ยวข้อง ก่อนหน้านี้มีรายงานว่าข้อมูลเกี่ยวกับการปริมาณข้าวค้างสต็อกในส่วนองค์การคลังสินค้า (อคส.) และองค์การตลาดเพื่อการเกษตรกร (อ.ต.ก.) ได้ส่งถึงคณะคณะกรรมการพิจารณาความรับผิดทางแพ่ง ที่มีอธิบดีกรมบัญชีกลางเป็นประธานแล้ว และคาดหมายว่าจะมีสรุปรายละเอียดทั้งหมดภายในเดือนมี.ค. 2559 หลังจากคณะกรรมการได้มีการประชุมไปแล้วกว่า 10 ครั้ง และเมื่อมีข้อสรุปเกี่ยวกับตัวเลขความเสียหายแล้ว จะมีการรายงานผ่านรมว.คลัง เพื่อเสนอต่อพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชานายกรัฐมนตรี เพื่อสั่งการให้กระทรวงพาณิชย์เรียกเก็บค่าเสียหายต่อไป
2..กรณีของน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี มีรายงานว่าคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงความผิดทางละเมิดโครงการรับจำนำข้าว ที่มี นาย จิรชัย มูลทองโร่ย รองปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี เป็นประธาน ได้ส่งข้อมูลไปที่กระทรวงการคลังเพื่อประมาณการความเสียหายเบื้องต้นแล้ว และขณะนี้อยู่ระหว่างการพิจารณาของคณะกรรมการพิจารณาความรับผิดทางแพ่ง และคาดว่าจะมีความชัดเจนภายในเดือนก.ค. 2559 จากนั้นจะนำรายละเอียดเสนอต่อพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เพื่อพิจารณาสั่งการให้รมว.คลังเรียกเก็บค่าเสียหายกับน.ส.ยิ่งลักษณ์ต่อไป
ชัดเจนว่าการดำเนินการในประเด็นที่เกี่ยวข้องกับการเรียกเก็บค่าเสียหายจากผลกระทบที่เกิดจากนโยบายจำนำข้าวทุกเมล็ดในรัฐบาลน.ส.ยิ่งลักษณ์ มีอยู่ด้วยกัน 2 ส่วนความผิด
คือ 1. กรณีทุจริตขายข้าวแบบ G to G มีผู้ถูกกล่าวหา 28 ราย ประกอบด้วย นายบุญทรง เตริยาภิรมย์ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ นายภูมิ สาระผล อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ กับพวก และมีเอกชนเกี่ยวข้องด้วย 22 ราย
โดยก่อนหน้านี้ นายมนัส แจ่มเวหา อธิบดีกรมบัญชีกลาง ในฐานะประธานกรรมการพิจารณารับผิดทางแพ่ง โครงการรับจำนำข้าว ได้อธิบายถึงกระบวนการพิจารณาเรียกค่าเสียหายจากผู้ที่กระทำผิดในส่วนเจ้าหน้าที่รัฐ โดยเฉพาะนายบุญทรง และพวกรวม 6 คน คาดว่าจะมีตัวเลขชัดเจนในเดือน มี.ค.นี้ ว่าแต่ละคนต้องรับผิดชอบความเสียหายใช้คืนให้กับรัฐเท่าไร
ส่วนกรณีเรียกค่าเสียหายจากเอกชน ที่เกี่ยวข้องกับการระบายข้าวแบบจีทูจี วงเงิน 20,000 ล้านบาท หน่วยงานผู้รับผิดชอบจะยื่นคำร้องให้อัยการฟ้องเรียกค่าเสียหายต่อไป เพราะคณะกรรมการรับผิดทางแพ่งไม่มีอำนาจไปดำเนินการฟ้องร้องต่อเอกชนโดยตรง
2. กรณีปล่อยปละละเลยให้เกิดการทุจริต จะมีน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เป็นผู้ถูกกล่าวหาเพียงคนเดียว ส่วนมูลค่าความเสียหายที่ต้องรับผิดชอบจะอยู่ในสัดส่วนมูลค่าเท่าใด แม้จะยังไม่มีการยืนยันข้อสรุปชัดเจน แต่มีตัวเลขพิจารณาประกอบจากข้อมูลการปิดบัญชีที่ผ่านๆ มา ว่ามียอดรวมกว่า 5.36 แสนล้านบาท ณ การปิดบัญชีรอบวันที่ 30 ก.ย. 2558
โดยลำดับข้อมูลเกี่ยวกับตัวเลขความเสียหายที่เกี่ยวข้องกับนโยบายจำนำข้าว ซึ่งมีการบันทึกไว้มีรายละเอียด ดังนี้
1.การปิดบัญชีโครงการจำนำข้าวนับตั้งแต่เริ่มต้นโครงการในปี 2547 จนถึงวันที่ 22 พ.ค.2557 จำนวน 15 โครงการ พบว่ามีผลขาดทุนประมาณ 6.82 แสนล้านบาท จากต้นทุนโครงการที่รวมค่าใช้จ่ายทั้งหมดประมาณ 1.1 ล้านล้านบาท แยกเป็นการดำเนินโครงการโดยรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ระยะเวลา 3 ปี จำนวน 4 โครงการ คิดเป็นผลขาดทุนจำนวน 5.18 แสนล้านบาท ส่วนที่เหลือ 11 โครงการ ซึ่งดำเนินการตั้งแต่รัฐบาล ทักษิณ ชินวัตร มีผลขาดทุนประมาณ 1.64 แสนล้านบาท
2.การปิดบัญชีโครงการรับจำนำข้าว จนถึงวันที่ 30 กันยายน 2558 ปรากฏว่ามียอดขาดทุนประมาณการณ์สูงกว่าการปิดบัญชีงวด 30 กันยายน 2557 โดยมียอดขาดทุน 6.99 แสนล้านบาท แยกเป็น 11 โครงการก่อนรัฐบาลยิ่งลักษณ์มูลค่า 1.63 แสนล้านบาท และอีก 4 โครงการที่เกิดขึ้นในยุคสมัยรัฐบาลยิ่งลักษณ์ จำนวน 5.36 แสนล้านบาท
ขณะที่ล่าสุด นายสมชัย สัจจพงษ์ ปลัดกระทรวงการคลัง ในฐานะประธานคณะอนุกรรมการปิดบัญชีโครงการรับจำนำข้าวรอบวันที่ 30 ก.ย. 2558 ยอมรับว่าผลขาดทุนสุทธิได้เพิ่มสูงขึ้นจากเดิมแม้ว่าปริมาณข้าวจะไม่มีหายไปจากโกดังตามกระแสก็ตาม เนื่องมาจากผลกระทบเรื่องค่าเสื่อมราคา โดยข้าวในสต็อกปัจจุบันมีคุณภาพเสื่อมลงเรื่อย ๆ ทำให้การะบายข้าวในราคาสูงไม่ใช่เรื่องง่าย ในขณะที่ตัวเลขการขายข้าวปัจจุบันของภาครัฐมีราคาต่ำกว่าราคารับจำนำอย่างมาก ไม่นับรวมเรื่อง
ค่าใช้จ่ายเรื่องดอกเบี้ย , ค่าเช่าโกดัง ฯลฯ แต่ตัวเลขการขาดทุนจะเพิ่มขึ้นเท่าใด ยังไม่สามารถเปิดเผยได้ แต่เบื้องต้นประมาณการว่าจะไม่เกิน 1 แสนล้านบาท โดยหลังจากนี้จะรายงานให้นายกรัฐมนตรีรับทราบทันที และเสนอให้คณะกรรมการนโยบายข้าวแห่งชาติ (นบข.) รับทราบต่อไป
นอกจากนี้คณะอนุกรรมการปิดบัญชีฯ จะเสนอแนวทางการบริหารข้อมูลข้าวกับ นบข.เพื่ออนุมัติให้มีหน่วยงานที่รับผิดชอบดูแลโดยเฉพาะเนื่องจากที่ผ่านมาอุปสรรคของการปิดบัญชีมีปัญหาจำนวนมาก ทั้งฐานระบบข้อมูลที่ต้องนำมาใช้ในการปิดบัญชี ซึ่งจะเสนอให้มีการบริหารฐานข้อมูลปิดบัญชี การบริหารสต็อกข้าว และการบริหารด้านอื่นที่เกี่ยวกับข้าว เพื่อให้การปิดบัญชีข้าวของฤดูกาล ในปีงบประมาณ 2559 สามารถทำได้รวดเร็วมากขึ้น รวมทั้งจะเสนอให้ประชุมปิดบัญชีข้าวไตรมาสละครั้ง ซึ่งจะทำให้ปิดบัญชีได้รวดเร็วมากขึ้น
ขณะเดียวกัน คณะอนุกรรมการปิดบัญชีฯ จะได้เสนอรัฐบาลตั้งงบประมาณชดเชยความเสียหายจากโครงการรับจำนำข้าวภายใน 4 ปี ส่วนการกำหนดการเริ่มต้นใช้คืนหนี้นั้นจะขึ้นอยู่กับรายได้ของรัฐบาล และสถานะของรัฐบาลในอนาคตต่อไป และกับการพิจารณารับผิดทางแพ่ง คงขึ้นอยู่กับนายมนัส แจ่มเวหา อธิบดีกรมบัญชีกลาง ในฐานะประธาน ว่า จะใช้ข้อมูลการปิดบัญชีนี้มาประกอบเรียกความเสียหายจากน.ส.ยิ่งลักษณ์และผู้เกี่ยวข้องหรือไม่
ต้องติดตามตัวเลขสรุปผลการปิดบัญชีสุทธิรอบวันที่ 30 ก.ย. 2558 ว่าผลการดำเนินนโยบายข้าวที่ผ่านมาแต่ละยุคสมัยมีตัวเลขขาดทุนรวมเท่าไร โดยเฉพาะในยุครัฐบาลน.ส.ยิ่งลักษณ์ ที่มีมูลค่าเดิมอยู่ที่ 5.36 แสนล้านบาท และการขาดทุนที่เพิ่มขึ้นตามข้อมูลคณะอนุกรรมการฯปิดบัญชีก็คือสิ่งตอกย้ำว่าภาระความเสียหายที่กระทรวงการคลังจะเรียกคืนจากน.ส.ยิ่งลักษณ์ก็จะเพิ่มมากกว่า 5.36 แสนล้านด้วย