ปริศนาหมื่นล้าน JAS

ติดตามข่าวสารได้ที่ www.tnews.co.th

บทความโดย อ.บรรยง วิทยวีรศักดิ์

 


บริษัทจัสมิน อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) หรือ JAS ได้สร้างความประหลาดใจให้กับคนไทยทั้งประเทศ เมื่อสามารถชนะการประมูลคลื่นความถี่ย่าน 900 MHz.ของ สำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) มาได้ แต่แล้วในเวลาไม่นาน กลับมีข่าวในเชิงลบว่า บริษัทไม่สามารถระดมทุนได้ตามต้องการ และเมื่อครบกำหนดเส้นตาย ปรากฏว่า JAS ไม่มาตามนัดจริงๆ จนต้องถูกยึดเงินมัดจำจำนวน 644 ล้านบาท จนเป็นที่มาของคำถามว่า "หรือนี่จะเป็นมวยล้มต้มคนดู ที่มีวางแผนมาอย่างดี ?"

ทำไม บริษัทระดับชาติที่ทำธุรกิจแสนล้าน ถึงได้เตรียมงานแบบสุกเอาเผากิน วิ่งหาเงินกันแบบฉุกละหุก หรือว่ามีอะไรเบื้องลึกกว่านั้น

 หากเราติดตามการซื้อขายหุ้นของบริษัท JAS ซึ่งเป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย(ตลท.) เพื่อหาเบาะแสประกอบการแกะรอยครั้งนี้ เราจะพบว่ามูลค่าการซื้อขายของ JAS ที่ตามปกติจะมีมูลค่ากลางๆระดับร้อยล้านบาท แต่เมื่อต้นเดือนกันยายน2558 เป็นต้นมา ก่อนที่จะมีการเปิดตัวว่าจะร่วมประมูลคลื่นสัญญา 4G จู่ๆมูลค่าการซื้อขายก็กระโดดขึ้นมาระดับ 2-5,000 ล้านบาท ขึ้นเป็นอันดับหนึ่งของทั้งตลาดในแต่ละวัน มีการซื้อขายที่ผันผวน ขึ้นลงเร็ว มีช่องว่างให้ทำกำไรได้ในแต่ละวัน ทั้งยังถูกเสริมด้วยการที่บริษัทประกาศจ่ายเงินปันผลระหว่างกาล(จ่ายเพิ่มจากเงินปันผลที่เพิ่งจ่ายไป 1.50 บาท)ให้อีก 0.10 บาทต่อหุ้น คิดเป็นเงินแถมให้ 1.92 % ปรากฏการณ์แบบนี้ ในวงการหุ้น ตีความได้ว่า นี่เป็นการเรียกแขก เป็นการดึงรายย่อยเข้ามาร่วมชุลมุนพันตู

 เบาะแสอีกชิ้นหนึ่งที่ถือว่ามีสิ่งผิดปกติเกิดขึ้น คือในช่วงที่มีระดับการซื้อขายขึ้นเป็นอันดับหนึ่งนั้น ในแต่ละวัน เมื่อตอนเวลา 16.30 น. ก่อนที่ตลาดหลักทรัพย์จะปิดการซื้อขาย จะมีช่วงเวลาสั้นๆที่ตลท.จะหยุดการซื้อขายแล้วให้นักลงทุนเสนอราคาที่จะซื้อจะขายเข้ามา จากนั้นตลท.จะสุ่มราคาปิด โดยใช้ราคากลางที่มีคนเสนอมามากที่สุด ซึ่งโดยทั่วไป จะเป็นราคาใกล้เคียงกับราคาเคาะซื้อขายก่อนหน้าเพียง 1-2 ระดับราคาเท่านั้น แต่สำหรับหุ้น JAS จะแสดงปาฏิหาริย์ได้แทบทุกวัน โดยการปิดกระชากขึ้นหรือลงจากราคาล่าสุด 5-10 ระดับราคา บางครั้งกระชากขึ้นไปปิดเพิ่มขึ้นถึง 5% จากราคาเคาะก่อนหน้าทีเดียว

ในการแสดงปาฏิหาริย์แบบนี้ นักลงทุนรายย่อยจะไม่สามารถทำได้เลย เพราะต้องใช้เงิน 2-300 ล้านบาทในแต่ละครั้งเพื่อกระชากราคาให้ขึ้นหรือลงได้ขนาดนั้น ขณะที่นักลงทุนสถาบันที่มีวุฒิภาวะพอ ก็ไม่น่าจะตัดสินใจแบบนั้น ในเมื่อมันเป็นหุ้นที่มีสภาพคล่องสูงมาก มีการเสนอซื้อเสนอขายในแต่ละระดับราคาเป็นล้านๆหุ้น หากอยากได้หุ้นจำนวนมาก ก็สามารถค่อยๆเคาะซื้อได้ โดยไม่ต้องกวาดซื้อในครั้งเดียว แต่ผลที่ได้แน่ๆคือ สามารถดึงความสนใจจากรายย่อยให้เห็นโอกาสในการเข้ามาเก็งกำไร เพราะหุ้นขึ้นลงเร็ว หากเก็งถูกจังหวะ อาจทำกำไรได้ 4-5% เพียงแค่ลุ้นช่วงราคาปิด แต่ถ้าเก็งผิดก็อาจขาดทุน 5% ได้ในวันเดียวกัน

 มีนักลงทุนมากมายตั้งคำถามว่า ทำไมช่วงนั้นหุ้น JAS จึงไม่ถูกติดเครื่องหมาย Cash Balance ที่ตลท.มักใช้เตือนนักลงทุนว่า หุ้นตัวนี้มีการซื้อขายที่ผิดปรกติ จึงต้องให้นักลงทุนใช้เงินสดในการซื้อขาย อาจเป็นเพราะมันเป็นหุ้นยักษ์ใหญ่ตัวหนึ่งในวงการสื่อสาร ตลท.จึงไม่กล้าจะไปแตะมากนัก แต่ถ้าเป็นหุ้นบริษัทเล็กๆ ก็คงโดนลงดาบไปเรียบร้อยแล้ว

ครั้นเมื่อบริษัท JAS ประมูลคลื่น 4G ได้ในวันที่ 18 ธันวาคม 2558 แทนที่ผู้บริหารของบริษัทหรือผู้ถือหุ้นใหญ่ผู้มีอำนาจในการควบคุมจะได้ออกมาชี้แจงอธิบายแผนการของบริษัท กลับเก็บตัวเงียบซึ่งผิดวิสัยของบริษัทขนาดใหญ่ที่ควรมีความโปร่งใส หรือควรดำเนินการเพื่อทำให้ผู้ถือหุ้นสบายใจ เพราะการที่บริษัทตัดสินใจประมูลด้วยวงเงินสูงขนาดนี้ ผู้ถือหุ้นทุกคนต้องถือว่าได้ถูกดึงให้เข้าไปมีส่วนได้เสียในการเดิมพันแล้ว ดังนั้น บริษัทจึงควรมีแผนการหรือคำอธิบายที่ชัดเจนให้กับพวกเขาด้วย

 ในทางตรงกันข้าม กลับมีแต่ข่าวลือมากมาย เช่น ยังหาหุ้นส่วนไม่ได้ ไม่มีธนาคารไทยแห่งใดกล้าค้ำประกันให้ อีกทั้งยังมีคำขู่จากเลขาธิการ กสทช.ว่า หาก JAS ผิดสัญญา จะกระทบกับสัมปทานทุกใบที่ JAS และบริษัทลูกถือครองอยู่ อาจถึงขั้นไม่ต่อใบอนุญาตสัมปทาน ข่าวเหล่านี้ทำให้ราคาหุ้น JAS ไหลรูดจากบริเวณสูงสุด 6.1 บาท ลงมาเหลือ 2.8 บาท ในเวลาเพียง 2 เดือนเศษ หากคำนวณจากจำนวนหุ้นที่ซื้อขายกันในตลาดหลักทรัพย์ของ JAS ทั้งหมดที่มีอยู่ 7,133 ล้านหุ้น เท่ากับมูลค่าทางตลาดของ JAS ลดลงจาก 42,798 ล้านบาท เหลือ 19,972 ล้านบาท นี่ยังไม่นับรวมใบสำคัญแสดงสิทธิ์ในการซื้อหุ้น(วอร์แรนต์)ของบริษัทที่ซื้อขายกันในตลาดอีก 3,300 ล้านหุ้น ที่ราคาลดลงจาก 1.30 บาท เหลือ 0.38 บาท

 ระหว่างที่ราคาหุ้นย่ำฐานอยู่ที่ 3 บาท จากข่าวร้ายสารพัดในช่วงปลายเดือนมกราคม 2559 บริษัท JAS ก็สร้างความประหลาดใจด้วยการจ่ายเงินปันผลก้อนโตอีก 0.30 บาท หรือคิดเป็นประมาณ 10% ของราคาหุ้นในขณะนั้น มีเสียงวิจารณ์ว่า นี่เป็นการจูงใจให้ผู้ถือหุ้นรายย่อยร่วมชะตาในการถือหุ้นต่อไป บ้างก็ว่ามันคือการผ่องถ่ายเงินออกของผู้ถือหุ้นรายใหญ่หลังรู้ตัวว่าเดินเกมผิด และบ้างก็ว่ามันคือการโยกเงินออกเพื่อใช้เป็นทุนรอนในการเดินหมากขั้นต่อไป

 ข่าวร้ายยังคงโหมกระหน่ำเข้ามา จนถึงขั้นมีข่าวว่า การผิดสัญญาครั้งนี้ อาจทำให้บริษัทล้มละลาย เพราะจะถูกหมายหัว(แบล๊คลิสต์) จาก กสทช.ทำให้บริษัทอาจไม่สามารถดำรงอยู่ในธุรกิจสื่อสารที่บริษัทมีความชำนาญนี้ได้อีกต่อไป ราคาหุ้นยิ่งไหลรูดไปจนต่ำสุดที่ 2.70 บาท แต่แล้วจู่ๆช่วงต้นเดือนมีนาคน 2559 ท่ามกลางข่าวร้าย ก็มีแรงซื้อมหาศาลเข้ามาไล่เก็บหุ้น JAS จนราคาพุ่งจาก 2.80 บาทเป็น 3.20 บาท แล้ว JAS ก็สร้างความประหลาดใจให้กับวงการซื้อขายหุ้นอีกครั้งด้วยการประกาศใช้เงิน 6,000 ล้านบาท ซื้อหุ้นคืนจากผู้ถือหุ้นโดยตรงในราคา 5 บาท ทั้งๆที่ราคาหุ้นในตลาดอยู่ที่ 3.10 บาท

 เหตุการณ์แบบนี้ไม่เคยเกิดขึ้นในวงการหุ้นของไทยมาก่อน เพราะที่ผ่านมา บริษัทอื่นๆต่างใช้วิธีกันเงินกำไรสะสมออกมา แล้วซื้อหุ้นคืนจากตลาดหุ้นและซื้อในราคาตลาด โดยมักซื้อหุ้นคืนประมาณ 10% ของจำนวนหุ้นทั้งหมด แต่ JAS เลือกใช้วิธีซื้อหุ้นคืนจำนวน 20% ในราคา 5 บาทซึ่งเป็นราคาที่สูงกว่าราคาตลาดประมาณ 50% แน่นอนว่าข่าวนี้ทำให้ราคาหุ้น JAS พุ่งจาก 3.10 บาท ทะยานขึ้นไปสูงสุดที่ 3.98 บาทภายในวันเดียว

คำถามคือในภาวะ JAS กำลังระดมเงินเพื่อจะไปใช้เป็นเงินทุนในการจ่ายค่าใบอนุญาตสัมปทาน แทนที่จะกันเงินเอาไว้ลงทุน กลับทำตรงข้ามด้วยการระดมเงินออก (Cash out)

ในที่สุดภาพที่คลุมเครือ ก็แจ่มชัดขึ้น เมื่อ JAS ไม่ปรากฏตัวในวันครบกำหนดชำระค่าประมูลงวดแรกและต้องนำหนังสือค้ำประกันวงเงินที่เหลือมามอบให้กสทช. แต่ JAS กลับมีประกาศจากบริษัทตามมาว่า ที่ปรึกษาทางกฎหมายของบริษัทยืนยันว่า บริษัทจะเสียหายเพียงแค่เงินมัดจำ 644 ล้านบาท เพราะบริษัทไม่ได้ปฏิบัติผิดเงื่อนไข ข้อ 5.2 ของหลักเกณฑ์และวิธีประมูลที่ได้ กสทช.ประกาศไว้ และเงินที่ถูกริบดังกล่าวไม่ได้มีผลกระทบใดๆต่องบการเงินของบริษัท

 มันจึงเป็นที่มาของคำถามที่เซ็งแซ่ว่า หรือนี่เป็นเกมระดับหมื่นล้านที่เศรษฐีเขาเล่นกัน

เป็นไปได้หรือไม่ ที่เกมเหล่านี้มีการวางแผนมาอย่างดี นี่เป็นการทุบหุ้นระดับเซียน ที่ใช้เหตุการณ์ระดับชาติมารองรับ หุ้น JAS ร่วงจากจาก 6 บาท ลงมาที่ 3 บาท และพร้อมที่จะมีการไล่ราคากลับมาที่ 6 บาทอีกครั้ง หากมีการชี้ชัดว่า JAS ไม่ได้ทำผิดเงื่อนไขในหลักเกณฑ์การประมูล เพราะหลักเกณฑ์ที่กำหนดไว้ระบุชัดเจนว่า หากไม่สามารถนำเงินส่วนที่เหลือมามอบให้ในเวลาที่กำหนด ก็จะถูกลงโทษเพียงการริบมัดจำที่ได้วางไว้เท่านั้น

เดิมพันในปฏิบัติการครั้งนี้ หากมีการชอร์ตเซลหุ้นและวอร์แรนต์(เทขายหุ้นออกแล้วซื้อคืนที่ราคาต่ำกว่า)ออกมาเพียง 20% ของจำนวนหุ้นและ 50% ของจำนวนวอร์แรนต์ที่ซื้อขายกัน จะสามารถทำกำไรได้ถึง 4,279 ล้านบาทและ 1,600 ล้านบาทตามลำดับ หรือรวมคิดเป็น 5,800 ล้านบาท ซึ่งยังไม่นับรวมผลประโยชน์เงินปันผลหรือการซื้อหุ้นคืนที่มีการประกาศออกมาในช่วงก่อนหน้าที่คิดเป็นมูลค่าอีกนับพันล้านบาท โดยใช้เงินเพียง 644 ล้านบาท(ซึ่งเป็นเงินของบริษัทที่รวมเงินของผู้ถือหุ้นรายย่อยเอาไว้)เป็นเหยื่อล่อ

ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้น บุคคลที่เกี่ยวข้อง คงต้องมีคำตอบที่ดีว่า ทำไมก่อนการประมูลจึงมีการโยกหุ้นจนขึ้นมาซื้อขายอันดับหนึ่งนานนับเดือน
ทำไม จึงไม่มีการแจงแผนงานหรือแหล่งเงินทุน ทั้งที่ควรต้องมีความชัดเจนก่อนการประมูล
ทำไม ผู้ถือหุ้นรายย่อยจึงต้องเข้าไปเสี่ยงเดิมพันในการประมูลที่ไม่รู้ชะตากรรม ทำไม กรรมการบริษัทจึงมติจ่ายเงินปันผลครั้งใหญ่ ทั้งที่บริษัทกำลังต้องระดมเงินเพื่อใช้ในการจ่ายค่าสัมปทาน
และสุดท้าย ทำไม จึงมีการซื้อหุ้นคืนแบบพิสดาร และมีการแอบไล่ซื้อหุ้นก่อนที่มติกรรมการจะออกมา

หากไม่มีคำตอบที่ดีและชัดเจน งานนี้เท่ากับเป็นการเล่นปาหี่ระดับชาติ โดยมีกสทช.เป็นตัวตลก ที่ถูกเชิดให้เป็นตัวหลอกในเกมกลโกงอันพิลึกพิลั่นนั่นเอง

งานนี้หนีไม่พ้นที่ผู้คุมกฎคือ สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์(กลต.)และทางตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย(ตลท.) ต้องออกโรงตรวจสอบว่าใครกันแน่ที่เป็นไอ้โม่งโยกหุ้นจนมีมูลค่าติดอันดับหนึ่งนับเดือน ใครกันที่ใช้เงินระดับร้อยล้านบาทกระชากราคาหุ้นตอนปิดตลาดได้ทุกวัน และมีใครบ้างที่ทยอยรินหุ้นออกที่ราคา 5-6 บาท แล้วมาทยอยรับซื้อคืนที่ราคา 3 บาทต้นๆ (ซึ่งอาจใช้ชื่อบัญชีที่ต่างกันในตอนขายและซื้อคืน)

 เรื่องนี้เป็นผลประโยชน์ของประเทศชาติ ทั้งยังเป็นหน้าตาของกสทช.ที่เป็นองค์กรใหญ่ของชาติ ในภาวะที่ประเทศกำลังรณรงค์เรื่องความโปร่งใส ไร้คอรัปชั่น อย่าให้งานนี้เป็นมวยล้มต้มคนดู

 และงานนี้คนไทยทั้งประเทศมีสิทธิที่จะรับรู้ว่า ปริศนาหมื่นล้านบาทนี้ มีอะไรอยู่เบื้องหลัง !!