หนุ่มใหญ่ พลเมืองดี!! หลั่งน้ำตา ขอความเป็นธรรม ช่วยชีวิตคน กลับถูกยัดข้อหา "พยายามฆ่า"

ติดตามข่าวสารเพิ่มเติมได้ที่ www.tnews.co.th

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวันที่ 26 ส.ค.2559 ที่ผ่านมา  นายสมมิตร หนูทองแก้ว หรือ "ช่างแดง" อายุ 49 ปี เจ้าของธุรกิจร้าน "ช่างแก้วเหล็กดัด" ชาวจังหวัดนครศรีธรรมราช พร้อมด้วย นางเพ็ญศรี ทองเทพ อายุ 54 ปี ภรรยา เดินทางเข้าร้องเรียนขอความเป็นธรรมกับสื่อมวลชน ที่ศูนย์ข่าวนคร 24 ชม.สมาคมสื่อมวลชนจังหวัดนครศรีธรรมราช ภายหลังเข้าให้ความช่วยเหลือคนถูกทำร้ายร่างกาย จนรอดชีวิต แต่กลับถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจตั้งข้อหาพยายามฆ่าชิงเอาทรัพย์สินในเวลากลางคืน

 

 

นายสมมิตร  หรือ ช่างแดง เล่าว่า ตนเองมีอาชีพรับจ้างทำเหล็กดัดโครงหลังคาเป็นที่รู้จักกันอย่างกว้างขวางใน จ.นครศรีธรรมราช และด้วยนิสัยที่ชอบช่วยเหลือผู้ตกทุกข์ได้ยากจึงไปสมัครเป็นอาสาสมัครหน่วยกู้-ภัยมูลนิธิไต้เต๊กตึ้ง มาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2544 แต่แล้วการเป็นพลเมืองดีของตนกลับทำให้ต้องเผชิญความโชคร้ายที่สุดในชีวิต โดยเมื่อคืนวันที่ 27 มิ.ย. 2558  ขณะที่ขับรถมาตามถนนสายเทิดพระเกียรติ (บางงัน-บ่อโพธิ์ ) ซึ่งถนนมืดตลอดสาย จนกระทั่งผ่านสี่แยกบางงัน ไปทางบ่อโพธิ์ประมาณ 400-500 เมตร ได้พบรถเก๋งชนอัดกับเสาปูนริมถนน โดยมีคนเจ็บเลือดท่วมตัว นอนอยู่ข้างรถเก๋งคันดังกล่าว ตนคิดว่ารถเก๋งคันดังกล่าวได้เกิดอุบัติเหตุชนกับเสาปูน ทำให้มีผู้บาดเจ็บ จึงรีบโทรแจ้งหน่วยกู้ภัยไต้เต๊กตึ้ง ให้มารับคนเจ็บไปส่งโรงพยาบาล ทราบชื่อภายหลังคือ นายปิยะชัย คงดำ ถูกทุบตีด้วยของแข็งเข้าที่ใบหน้าและศีรษะจนแตกเป็นแผลฉกรรจ์  ตนและเจ้าหน้าที่ได้ช่วยกันปฐมพยาบาลจนฟื้นคืนสติ และโทรฯแจ้ง สภ.เมืองนครศรีธรรมราช ให้ช่วยเดินทางมาตรวจสอบทำแผนที่เกิดเหตุ ก่อนจะรีบนำ นายปิยะชัย ส่ง รพ.มหาราช และทางตำรวจได้จดชื่อที่อยู่พร้อมเบอร์โทรศัพท์ของตนและถ่ายรูปตนไว้ 1 รูป ในฐานะพลเมืองดีแจ้งเหตุ และให้การช่วยเหลือนายปิยะชัย โดยนำไปลงบันทึกประจำวัน เหตุทำร้ายร่างกาย  ในเวลา04.00 น. ของวันที่ 28 มิ.ย. 2559 ซึ่งในบนทึกประจำวันได้ระบุว่า ตนเป็นพลเมืองดีเป็นผู้แจ้งเหตุและช่วยเหลือผู้บาดเจ็บ

นายสมมิตร กล่าวว่ แต่จากนั้น 3เดือน นายปิยะชัยที่นอนรักษาตัวที่ รพ.มหาราช จนพ้นขีดอันตรายแต่ดวงตาบอด 1 ข้างเนื่องจากถูกทำร้าย ทาง ร.ต.ท.พิเชษฐ์ เรียบร้อย พนักงานสอบสวน สภ.เมือง จ.นครศรีธรรมราช ได้เดินทางไปสอบสวนปากคำ นายปิยะชัย ผู้บาดเจ็บ แต่ปรากฏว่านายปิยะชัย จำเหตุการณ์อะไรไม่ได้ ไม่ทราบว่าตัวเองมาอยู่ในจุดเกิดเหตุได้อย่างไร และไม่ทราบว่าใครทำร้าย ประกอบกับจุดที่เกิดเหตุมืดมาก ๆ จึงมองอะไรไม่เห็น จำอะไรไม่ได้เลย  ร.ต.ท.พิชษฐ์ จึงบอกนายปิยะชัย ยังถือว่าโชคดีที่มีตนขับรถยนต์ผ่านมาพบ และให้การช่วยเหลือ หากไม่ได้รับการช่วยเหลือ อาจจะเสียเลือดจนถึงขั้นเสียชีวิตได้ ร.ต.ท.พิเชษฐ์  ได้แจ้งให้นายปิยะชัย ทราบว่าคนที่มาพบและช่วยเหลือคือตน พร้อมให้นายปิยะชัย ดูภาพของตนในโทรศัพท์ ซึ่งนายปิยะชัย ได้ฝากขอบคุณตนที่ให้การช่วยเหลือจนมีชีวิตรอดมาได้

 

หนุ่มใหญ่ พลเมืองดี!! หลั่งน้ำตา ขอความเป็นธรรม ช่วยชีวิตคน กลับถูกยัดข้อหา "พยายามฆ่า"

 

 

ต่อมา ร.ต.ท.พิเชษฐ์ได้ส่งมอบสำนวนคดีนี้ให้กับนายตำรวจระดับ รอง ผกก.สภ.เมือง คนหนึ่งดำเนินการต่อ ทางรองผกก.สภ.เมือง คนดังกล่าวได้เรียกนายปิยะชัยไปสอบปากคำอีกครั้ง ซึ่งนายปิยะชัยให้การไม่รับรู้เรื่องราวใดๆ กระทั่งต่อมาถูกเรียกตนเองไปสอบสวน และถูกแจ้งข้อกล่าวหาว่า “พยายามฆ่าเอาทรัพย์สินในเวลากลางคืน” โดย รอง ผกก.ท่านดังกล่าวอ้างว่า นายปิยะชัย ให้การระบุว่าตนอยู่ในเหตุการณ์ที่ นายปิยะชัย โดนทำร้ายด้วย  เรื่องราวที่กลับตาลปัตดังกล่าวทำให้ตนงงไปหมด ทั้งที่ตั้งใจทุ่มเทในการเป็นพลเมืองดีช่วยเหลือผู้อื่นมาตลอด โดยเฉพาะช่วยเหลือนายปิยะชัย จนรอดตาย แต่กลับมาถูกตำรวจแจ้งข้อหาดำเนินคดี ฐานพยายามฆ่าเอาทรัพย์สินในเวลากลางคืนเสียเอง มันเป็นข้อหาที่รุนแรงมาก ๆ ที่สำคัญตนไม่ได้กระทำผิด ตนเป็นพลเมืองดีแท้ ๆ กลับมาถูกดำเนินคดีเสียเอง ซึ่งตนให้การยืนยันปฏิเสธตลอดข้อกล่าวหา ในขณะนี้ รอง ผกก.คนดังกล่าวได้เสนอเรื่องไปยังอัยการ เพื่อพิจารณาสั่งฟ้องตนในวันที่ 6 ก.ย. 2558 นี้

"ผมบอกตรง ๆ ว่าทำอะไรไม่ถูก เครียดมาก ๆ จนทำงานไม่ได้ ลูกเมียและญาติ ๆ ก็พลอยเครียดไปกับผมด้วย  ผมได้ไปหานายปิยะชัย ที่บ้านและสอบถามว่าทำไมต้องมาทำกับผมอย่างนี้ ผมเป็นคนช่วยเหลือให้รอดตายแต่กลับมาถูกดำเนินคดี ไม่เป็นธรรมกับผมเลย" นายปิยะชัย กล่าวตอบกับตนว่า "หากช่วยเขาให้รอดตายก็ขอขอบใจมาก ๆ แต่เรื่องคดีเขาไม่เกี่ยวข้อง เขามอบเรื่องราวของคดีทั้งหมดให้ตำรวจไปดำเนินการเอาเอง" นายสมมิตร กล่าว และว่า หากพลเมืองดีที่ช่วยเหลือคนอื่น แต่กลับมาตกเป็นผู้ต้องหาเสียเอง ต่อไปในสังคมใครจะกล้าเป็นพลเมืองดี สังคมมันจะอยู่กันอย่างไร ตนไม่รู้ว่าจะพึ่งใครไปร้องเรียนกับศูนย์ดำรงธรรมมาแล้วแต่เรื่องก็เงียบ จึงตัดสินใจมาร้องขอความเป็นธรรมกับผู้ใหญ่ในบ้านเมือง ทั้งนายกรัฐมนตรี ผบ.ตร.และผู้ว่าราชการจังหวัด รวมทั้งสื่อฯได้โปรดช่วยเหลือให้ความเป็นธรรมกับตนด้วย

 

 

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในระหว่างที่ให้ข้อมูลกับสื่อมวลชน นายสมมิตร ได้กล่าวด้วยเสียงสั่นและน้ำตานองหน้า และจะหันไปมองหน้านางเพ็ญศรี ภรรยาที่ร้องให้น้ำตาคลอเบ้าเช่นกัน ก่อนที่ทั้งสองจะกอดกันร้องห่มร้องให้เป็นที่น่าสงสาร