"สนธิญาณ" ชี้! "บิ๊กตู่" นั่งนายกฯ คนนอก แม้ปชช.หนุน แต่ "ไม่หมู" เพราะต้องมีเสียงส.ส.เกินครึ่งช่วย ซึ่ง "พท.-ปชป." คุมอยู่ นอกจากมีพรรคใหม่ -ส.ส.หนุนท่วมท้น

รายการ "สถาพรถามตรง สนธิญาณฟันธงตอบ" ประจำวันที่ 29 หาคม 2559  ออกอากาศทางช่อง ทีนิวส์ ดำเนินรายการโดย คุณสถาพร เกื้อสกุล (ถา) ได้สัมภาษณ์คุณสนธิญาณ ชื่นฤทัยในธรรม (ต้อย)  กรรมการผู้อำนวยการบริษัท ทีนิวส์ทีวี โดยมีเนื้อหาดังต่อไปนี้

สถาพร : ช่วงนี้อยู่ในกระแสความสนใจของบรรดานักการเมืองและบรรดาพี่น้องประชาชนคนไทยที่สนใจเรื่องราวทางการเมืองว่า หลังจากที่มีการเลือกตั้งนายกรัฐมนตรี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา จะกลับมาเป็นนายกรัฐมนตรีอีกครั้งหรือไม่

 

สนธิญาณ : ในความเป็นจริงตั้งแต่แม่น้ำสี่สายได้นำเสนอความคิดเห็นต่อ กรธ. สังคมให้ก็ให้การจับตามองแล้วว่า คสช. โดย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา มีแผนการในการที่จะสืบทอดอำนาจ ผมใช้คำแบบนี้ไม่ต้องอ้อมค้อม ดังนั้นแผนงานนี้มีหลักคิดอันชัดเจนแน่นอนก็คือว่า ที่ว่าบ้านเมืองนี้ต้องมียุทธศาสตร์ และต้องเดินต่อไปยุทธศาสตร์ที่คิดไว้ต้องเดินไปวางไว้อีก 20 ปีข้างหน้า ประเทศไทยจะเป็นอย่างไร ในขณะที่วางยุทธศาสตร์ขณะเดียวกันก็มีปัญหาที่คาราคาซัง ปัญหาที่เกิดขึ้นในประเทศไทยที่ควรรู้ก็คือปัญหาความวุ่นวายทางการเมืองที่เกิดขึ้น นี่ก็ชัดเจน เพราะบ้านเมืองแยกเป็นสองฝ่าย ฝ่ายหนึ่งไม่มีอะไรหรอกครับมาต่อต้านฝ่ายที่มีอำนาจและทุจริตคอร์รัปชั่นสร้างอำนาจจนเกินจริง ทำให้ผู้คนสงสัยตั้งคำถามด้วยว่าไปมีปัญหากับสถาบันฯด้วยหรือไม่ จึงทำให้กลายมาเป็นประเด็นทางการเมืองที่สำคัญ ด้วยประเด็นนี้คนไทยจำนวนหนึ่งลุกขึ้นมาต่อต้านภาพแตกแยก เพราะอีกฝ่ายหนึ่งก็มีมวลชนในการที่จะออกมาเรียกร้องสร้างประเด็นให้เกิดปัญหาเหมือนกัน และสร้างภาพว่าสังคมไทยแตกแยกเป็นสองส่วน สองชนชั้น ชนชั้นหนึ่งยืนอยู่กับคนยากจนก็โยงไปที่คุณทักษิณ ชินวัตร อีกฝั่งหนึ่งก็พิทักษ์ปกป้องสถาบันฯ มาถึงนาทีนี้ความสงบเรียบร้อยในบ้านเมืองที่เกิดขึ้น เป็นข้อน่าสนใจว่า เป็นที่พออกพอใจของคนส่วนใหญ่ในประเทศนี้หรือไม่ ปรากฏว่าใช่ ตั้งแต่ คสช.เข้ามาคนไทยรู้สึกพอใจ คสช. และรัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์ค่อนข้างจะมากในแง่ของการรักษาความสงบเรียบร้อยของบ้านเมือง ให้กลับคืนสู่ปกติ และมาจนถึงปัจจุบันสิ่งที่ปรากฏขึ้นกลายเป็นผลงานอีกเยอะแยะที่เรียกว่าติดตามมา โดยเฉพาะทางด้านการปราบปรามทุจริตคอร์รัปชั่น ก็ทำให้ผู้คนยิ่งสนับสนุนชื่นชม พล.อ.ประยุทธ์ ดูได้จากโพลที่ทำออกมาทุกอาทิตย์พุ่งทะลวงขึ้นมาเรื่อย ๆ เพิ่มขึ้นนะครับ ความรู้สึกนี้เป็นความรู้สึกที่น่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง ก็ทำให้คนคิดว่าจากที่จะสืบทอดอำนาจในการดูแลบ้านเมืองให้ดูเหมือนว่าพล.อ.ประยุทธ์จะต่อท่อเข้ามาเป็นนายกรัฐมนตรีต่อหรือเปล่า ก็เกิดคำถามตอนแม่น้ำสี่สายว่าจะให้วุฒิสมาชิกสามารถอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลได้ ปรากฏว่าคณะร่างรัฐธรรมนูญของ อ.มีชัย ไม่รับ สนช.บอกว่าถ้าอย่างนั้นมาตั้งคำถามพ่วงดีกว่า เพราะว่ารัฐธรรมนูญปี 2557 ได้เปิดช่องไว้ให้ก็มาตั้งคำถามพ่วง แต่แทนที่จะตั้งว่าให้ ส.ว. มีอำนาจอภิปรายไม่ไว้วางใจในแม่น้ำสี่สายเคยเสนอไป กลับไปตั้งว่า ส.ว. มีสิทธิ์โหวตเลือกนายกรัฐมนตรีหรือไม่ ประชาชนคนตอบเลยว่ามีสิทธิ์ให้ร่วมเลือก ก็มีปัญหาต่อไปอีกว่าที่ร่วมเลือกนี่ จะเลือกแบบไหนมีเสนอชื่อได้ไหม ก็ไปนู่นอีก เป็นประเด็นถกเถียงผมเรียน ก็กลายเป็นปัญหาไปแล้ว เพราะกรธ.บางคนเขาบอกว่าไม่ได้ไม่ใช่ แต่ในระหว่างนั้นฝ่ายเชียร์เขาก็บอกว่าจะตั้งพรรค คุณไพบูลย์ นิติตะวัน ผมต้องทวนเรื่องแบบนี้ ทางฟากฝั่งของฝ่ายคัดค้านก็ออกมาทันทีเลยว่า แบบนี้จะการสืบทอดอำนาจ พล.อ.ประยุทธ์ไม่สง่างามนะ มาแบบนั้น พูดกันไปกันมาปรากฏว่า เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา พล.อ.ประยุทธ์ก็ออกมาพูดด้วยตัวเอง ซึ่งพูดไม่ได้ชัดหรอกครับแต่ก็รู้เลยว่าควรจะเอาไปตีความ พล.อ.ประยุทธ์พูดว่า "ขอให้ทนกับผมไปสักระยะ คนที่เป็นข้าราชการ ต้องทำหน้าที่ให้ดีที่สุด เงินเดือนน้อยก็ต้องทำ เพราะเลือกมาแล้ว อย่างผมเริ่มแรก ได้เงินเดือน 1,950 บาท ถึงวันนี้ ได้เงินเดือน นายกฯ 75,000 บาท และ ถึงแม้ต่อให้ทำงานหนักกว่านี้ ไม่ได้เงินเดือน ผมก็จะอยู่ แต่อยู่ด้วย กลไกประชาธิปไตยให้สง่างาม  แต่จะมาอย่างไร ก็ยังไม่รู้เหมือนกัน พูดอย่างนี้ เดี๋ยวสื่อ ก็ไปบอกแล้วว่า เปิดตัว" นี่คือคำที่ พล.อ.ประยุทธ์พูด สื่อก็พาดหัวว่า พล.อ.ประยุทธ์เปิดช่องแล้วในการจะเป็นนายกรัฐมนตรีคนต่อไปใช่หรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์ไม่ตอบ ไม่มีใครตอบแทนพล.อ.ประยุทธ์ได้ แต่ในแง่มุมกฎหมายผมตอบได้ว่าไม่หมูหรอกครับ พล.อ.ประยุทธ์จะมาเป็นนายกรัฐมนตรีคนนอกจากที่พรรคการเมืองเสนอรายชื่อจะเป็นก็ต้องพรรคการเมืองใดพรรคการเมืองหนึ่งเท่านั้น อยู่ 1 ใน 3 ชื่อ ตามมาตรา 88 แต่อยู่แล้วไม่แน่ว่าจะได้รับการเสนอต่อไปอีก เพราะว่าจะได้รับการเสนอต่อไปอีก เพราะกฎหมายบอกว่าจะเสนอได้ ส.ส.ต้องมีเสียงร้อยละ 5 คือเท่ากับ 25 คน และต้องให้การรับรอง ร้อยละ 10 ก็คือ 50 คน ไม่รู้พรรคไหนจะเสนอไหม อาจจะมีบางพรรคที่เห็นว่า พล.อ.ประยุทธ์ โพลมาเยอะแยะเอาล่ะ นั่นมีโอกาสมาตามลำดับ และขั้นตอนล่ะ ต่อหลังจากนั้นเสนอชื่อมาแล้ว ไม่ได้อีก ต้องเลือกมี ส.ส. มากกว่าครึ่งให้การสนับสนุน เพราะถึงแม้จะร่วมเลือกมา แต่ถ้าเสียง ส.ส. ไม่ถึงครึ่ง ก็อยู่ไม่ได้ครับเดี๋ยวโดนอภิปรายไม่ไว้วางใจ นี่เสร็จแน่ ๆ เพราะฉะนั้นดูแล้วเรียนท่านผู้ชมว่าไม่หมู เพราะการที่จะมี ส.ส. สนับสนุนถึงครึ่งนั่นก็ต้องปรากฏว่า พรรคเพื่อไทยหรือพรรคประชาธิปัตย์ต้องสนับสนุน เพราะสองพรรคนี้รวมแล้วมากกว่าครึ่ง ฉะนั้นคำพูดของท่านนายกเมื่อวันศุกร์จะตีความอย่างไรก็ตามแต่ แต่เรียนว่าไม่ง่ายหรอกครับ ผมคิดว่าท่านนายกรู้ แต่เปิดประเด็นมาก็ให้ไปคิดเพราะพล.อ.ประยุทธ์ก็ไม่ธรรมดาเหมือนกัน คำว่าไม่ธรรมดาวันนี้อาจจะรับรู้ถึงกระแสความรู้สึกของประชาชนได้ว่า ประชาชนคนไทยต้องการและนอกเหนือจากโพลมีประเด็นที่น่าสนใจติดตามมาตั้งเยอะ เช่น รายงานว่ากองทุนต่างชาติเห็นว่าประเทศไทยมีเสถียรภาพตั้งแต่รัฐบาล คสช. เข้ามา มีความมั่นคงขึ้น เฮกันมาลงทุนเพราะไม่ใช่ว่าดีอะไรสำหรับนักลงทุนต่างชาติ แต่สะท้อนให้เห็นว่าเขาเชื่อมั่นรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ เรียกว่าดีกว่าในห้วงระยะเวลาที่ผ่านมาเยอะมาก เอาล่ะนับแต่นี้ต้องจับตาดูที่พรรคเพื่อไทยและพรรคประชาธิปัตย์ ผมเรียนเลยด้วยความรู้สึกแปลก ๆ ต่อพรรคเพื่อไทยและพรรคประชาธิปัตย์ว่าจะมาเล่นกระแสโจมตี พล.อ.ประยุทธ์ทำไม ตัวเองประกาศไปเลยว่าจะไม่ให้ พล.อ.ประยุทธ์มาเป็นนายกรัฐมนตรี ไม่เอาไม่ยอม ก็วัดไปเลยว่านี่คือฝ่ายที่ไม่เอา และประชาชนจะได้คิดพิจารณาไปว่าถ้าเป็นแบบนี้จะเลือกพรรคเพื่อไทยและพรรคประชาธิปัตย์หรือไม่ เหมือนกับตอนลงประชามติร่างรัฐธรรมนูญ 2 พรรคนี้บอกว่าไม่รับประชาชนก็สวน ผมเรียนเลยว่านั่นคือการปฏิรูปการเมือง คนไม่ได้อยู่ภายใต้การชี้นำของพรรคการเมืองใหญ่ 2 พรรค ซึ่งคุมเสียงข้างมาก ฉะนั้นถ้าเที่ยวหน้าว่ากันให้ชัด ประกาศไปเลยก็ดี คนไทยก็จะได้คิดพิจารณาตัดสินใจ หรืออาจจะมีคนบอกว่าเมื่อ 2 พรรคนี้ไม่เอาเรานี่จะมาตั้งพรรคหนุนแล้วคนไทยจะเลือกไม่เลือกว่ามา ผมว่าก็เกิดกระบวนการทางการเมืองที่น่าสนใจและติดตาม เป็นแรงเหวี่ยง ส่วนค่ำคืนนี้มาติดตามกันว่า โอกาสจะเป็นนายกรัฐมนตรีของ พล.อ.ประยุทธ์ตอนนี้ แทบจะเป็นไปไม่ได้ แต่คำว่าแทบก็แสดงว่ามีช่อง และช่องนั้นอยู่ที่คนไทยทั้งประเทศว่าจะเอาอย่างไร ติดตามกันครับคืนนี้