- 28 มี.ค. 2560
รู้จริง...รู้แจ้ง...ทุกเรื่องราวแห่งปาฏิหาริย์ http://www.tnews.co.th
จากการที่ “สนธิญาณ ชื่นฤทัยในธรรม” แห่งสำนักข่าวทีนิวส์ ได้โพสต์ข้อความในเฟซบุ๊ก “Sontiyan Tnews” นัยจะสนทนาธรรมกับ “ทักษิณ” (และฝากแชร์ไปถึงสมุนทั้งหลายที่ร้อนตัวแทนนายด้วย) ความว่า...
“ ‘กฎแห่งกรรม’ เที่ยงแท้เสมอ!!!
ไม่ต้องมีตำรวจ...อัยการ...ทนายความและศาล มาคอยพิจารณาหา ‘พยานหลักฐาน’ มาแก้ต่างกัน!!!
‘กรรม’ อันถูกบันทึกไว้ใน ‘จิต’ ของแต่ละคน จะส่งผลออกไปอย่างเที่ยงธรรม!!!
ไม่ต้องมาเถียงกันหรอกครับว่า ‘ใครถูก’ ‘ใครผิด’ ‘ใครดี’ ‘ใครชั่ว’!!!
ถึงเวลานั้นเราจะรู้ได้ด้วยตนเอง”
ข้อความที่สนธิญาณโพสต์นี้ดูผิวเผินเหมือนจะโพสต์เพื่อตอบโต้ทักษิณและสมุนที่ขู่จะฟ้องร้องดำเนินคดี แต่สังเกตให้ดีจะเห็นว่าเป็นข้อความที่แฝงไว้ด้วย “ความเชื่อมั่นในกฎแห่งกรรม” อย่างหนักแน่นและมีพลัง ...
สมควรจะต้องนำมาขยายความกันสักหน่อยเพื่อให้เข้าใจร่วมกันถึงหลักการอันเป็นที่มาของสิ่งที่สนธิญาณโพสต์
สนธิญาณ ชื่นฤทัยในธรรม
เรื่องของเรื่องคืออย่างนี้ ...
“กฎแห่งกรรม” นอกจากจะหมายถึง “ทำดีได้ดี-ทำชั่วได้ชั่ว” อย่างที่รู้ๆ กันแล้ว ยังหมายความอีกด้วยว่า “ใครทำ...คนนั้นก็ต้องรับ”
จุดนี้สำคัญมาก เพราะนั่นแสดงให้เห็นว่าหัวใจสำคัญของกฎแห่งกรรมคือ “ความยุติธรรม”!!
แต่ความยุติธรรมในที่นี้คงไม่ใช่ “ความยุติธรรมตามกฎหมาย” หรือ “ความยุติธรรมแบบโลกๆ” ซึ่งเป็นความยุติธรรมที่เกิดจากกำหนดของมนุษย์และตัดสินโดยมนุษย์ (Justice by Man) เพราะสติปัญญาของมนุษย์มีขีดจำกัดและอาจจะเจือด้วยอคติก็ได้
ความยุติธรรมที่เป็นหัวใจของกฎแห่งกรรมจะต้องเป็น “ความยุติธรรมตามธรรมชาติ” (Justice by Nature) ซึ่งอิงอยู่กับกฎเกณฑ์ของธรรมชาติ เพราะธรรมชาตินั้นทำงานอย่างเที่ยงธรรม เป็นกลาง ไม่มีอคติ ไม่เข้าใครออกใคร
ศาสนาพุทธนั้นเชื่อใน “กฎธรรมชาติ” ... เชื่อว่าทุกสิ่งทุกอย่างในจักรวาลดำเนินไปภายใต้การควบคุมดูแลของกฎธรรมชาติซึ่งถูกแบ่งออกเป็นห้าข้อตามบทบาทการทำงาน คือ ๑. อุตุนิยาม (กฎทางฟิสิกส์) ๒. พีชนิยาม (กฎทางชีววิทยา) ๓. จิตตนิยาม (กฎเกี่ยวกับจิตใจของมนุษย์และสัตว์ในภพภูมิอื่น) ๔. กรรมนิยาม (กฎเกี่ยวกับกรรมและการให้ผล) และ ๕. ธรรมนิยาม (กฎธรรมชาติอื่นๆ ที่อยู่นอกเหนือจากกฎสี่ข้อแรก)
ในกฎธรรมชาติห้าข้อนี้มีสองข้อที่เกี่ยวข้องกับความยุติธรรมโดยตรง
ข้อแรกคือ “จิตตนิยาม” กฎข้อนี้บอกว่า ภายในจิตใจของมนุษย์มีโครงสร้างสองส่วน ส่วนแรกคือความรู้สึกนึกคิดทั่วไป (เรียกว่า “วิถีจิต”) อันเป็นส่วนที่เราควบคุมได้ ใช้อคติก็ได้ หรือแม้แต่หลอกตัวเองก็ได้ ส่วนที่สองคือส่วนที่ทำหน้าที่บันทึก “ข้อมูลกรรม” ทุกอย่างที่มนุษย์ได้ทำลงไป (เรียกว่า “ภวังคจิต”) ซึ่งความรู้สึกนึกคิดของจิตส่วนแรกก็นับเป็นกรรมทางใจที่จะถูกบันทึกเข้าไปในจิตส่วนนี้ด้วย
จิตส่วนที่สองนี้มีความพิเศษตรงที่ว่า การทำงานของมันอยู่นอกเหนือการควบคุมของมนุษย์ และเป็นไปอย่างเที่ยงตรงชนิดที่มนุษย์ไม่สามารถหลอกมันได้ ต่อให้มนุษย์หาเหตุผลเข้าข้างการกระทำของตัวเองเก่งแค่ไหน จิตส่วนนี้ก็ไม่รับฟัง สิ่งเดียวที่มันทำก็คือบันทึกข้อมูลกรรมอย่างตรงไปตรงมา พร้อมทั้งเป็นประจักษ์พยานรู้เห็นการกระทำนั้นๆ ไปด้วยในตัว
คราวนี้ก็มาถึงกฎธรรมชาติอีกข้อ คือ “กรรมนิยาม” (กฎแห่งกรรม) ซึ่งจะทำงานประสานกับกฎจิตตนิยามในลักษณะที่ว่า เมื่อข้อมูลกรรมถูกบันทึกลงไปในจิตแล้ว กฎแห่งกรรมก็จะทำหน้าที่แปรข้อมูลเหล่านั้นให้เป็นวิบากหรือผลของกรรมที่มนุษย์จะต้องได้รับในรูปแบบต่างๆ สุดแล้วแต่ว่าข้อมูลกรรมนั้นๆ มีรายละเอียดอย่างไร และสภาพแวดล้อมในการแสดงผลมีความเหมาะสมเพียงใด
และนั่นก็คือที่มาของคำสอนเรื่อง “กรรม ๑๒” ของศาสนาพุทธ ซึ่งจัดรูปแบบการให้ผลเป็นสามกลุ่ม
กลุ่มแรก-ให้ผลตามระยะเวลา ... ๑. ให้ผลชาตินี้ ๒. ให้ผลชาติหน้า ๓. ถ้ายังไม่ให้ผลชาติหน้าก็จะให้ผลในชาติต่อๆ ไป ๔. ถ้าหมดโอกาสให้ผลก็เป็นอโหสิกรรม ไม่มีผลอีกต่อไป
กลุ่มที่สอง-ให้ผลตามหน้าที่ ... ๕. นำไปเกิดในภพภูมิต่างๆ ๖. สนับสนุนหรือเสริมกำลัง ๗. บั่นทอนให้อ่อนกำลัง ๘. ตัดกระแสกรรมที่กำลังส่งผลให้ขาดสะบั้น
กลุ่มที่สาม-ให้ผลตามความรุนแรง ... ๙. กรรมหนัก (ให้ผลก่อน) ๑๐. กรรมที่ทำจนเคยตัว (ให้ผลต่อจากกรรมหนัก) ๑๑. กรรมขณะสุดท้ายก่อนตาย (ให้ผลต่อเมื่อไม่มีกรรมหนัก หรือให้ผลต่อจากกรรมเคยตัว) ๑๒. กรรมที่ทำด้วยเจตนาอ่อนหรือไม่มีเจตนา (ให้ผลเป็นคิวสุดท้าย)
ก็อย่างที่สนธิญาณโพสต์ไว้นั่นแหละว่า “ไม่ต้องมีตำรวจ ไม่ต้องมีอัยการ ไม่ต้องมีทนายความ ไม่ต้องมีศาล ไม่ต้องหาพยานหลักฐาน มาตัดสินกันให้ยุ่งยาก” ... เพราะเป็นไปได้ว่ากฎหมายจะมีช่องโหว่ เป็นไปได้ว่าผู้บังคับใช้กฎหมายจะถูกอคติบังตา และเป็นไปได้ที่ “ตราชั่งจะเอียง”!!
ที่สำคัญ... ระบบยุติธรรมของมนุษย์ที่สร้างโดยมนุษย์และเพื่อมนุษย์นั้นเป็นกระบวนการที่มีข้อจำกัดเรื่อง “การให้ผล” ซึ่งตรงนี้ต่างจากระบบยุติธรรมตามธรรมชาติอย่างเห็นได้ชัด
อธิบายง่ายๆ ก็คือว่า ต่อให้คนผิดถูกตัดสินลงโทษตามกฎหมายก็ไม่แน่ว่า “ความยุติธรรมที่แท้จริง” จะเกิดขึ้นแล้ว คนบางคนทำความผิดร้ายแรง แต่กลับติดคุกแค่ไม่กี่ปีแล้วก็ออกมาลอยหน้าลอยตาก่อกรรมทำเข็ญกับคนอื่นซ้ำซาก หรือต่อให้ติดคุกตลอดชีวิตก็ยังกินอยู่อย่างสบายในเรือนจำ แล้ววันหนึ่งก็ตายไปพร้อมกับบาปกรรมที่สะสมมาทั้งชีวิตโดยไม่เกิดความสำนึกผิดใดๆ แย่กว่านั้นก็พวกนักการเมืองที่ทำลายชาติบ้านเมืองเสียจนบั้นปลายชีวิตต้องระหกระเหินไปอยู่ต่างแดน แต่ก็ปรากฏภาพตามสื่อต่างๆ ว่ายังมีชีวิตสุขสบายดี
นี่คือตัวอย่างความไร้ประสิทธิภาพของระบบยุติธรรมโดยมนุษย์!!
แต่ระบบยุติธรรมโดยธรรมชาตินั้นไม่ใช่!! ... เพราะกฎแห่งกรรมเป็นระบบยุติธรรมที่ทำงานลงลึกถึง “ก้นบึ้ง” ในจิตใจของมนุษย์ และเป็นกระบวนการที่สืบทอดไปได้ยาวนานข้ามภพข้ามชาติ สามารถให้ผลได้เสมอไม่วันใดก็วันหนึ่ง ไม่ชาติใดก็ชาติหนึ่ง
ไม่เท่านั้น... กฎแห่งกรรมยังเป็นกฎที่มีพลานุภาพรุนแรง เด็ดขาด มีอำนาจเหนือมนุษย์อย่างสิ้นเชิง ไม่มีใครฝ่าฝืนได้ ไม่มีใครต่อรองได้ แม้แต่พระพุทธเจ้าเองก็ยังได้รับเศษกรรมบางอย่างที่ตกทอดมาจากอดีตชาติ หรือพระโมคคัลลานะที่มีฤทธิ์แค่ไหนก็ต้องถูกฆาตกรรมอย่างโหดร้ายเพราะกรรมหนักที่เคยทำกับพ่อแม่
จากที่สาธยายมาทั้งหมดนี้ ใครจะชี้แจงอย่างไร จะโกหกออกสื่อ จะพูดอะไรให้สวยหรูดูดีขนาดไหน ก็เอาที่สบายใจ ... แต่อย่าลืมว่าตัวเองเท่านั้นที่รู้อยู่แก่ใจว่าอะไรเป็นอะไร หรือถ้าคิดว่าหลอกตัวเองได้ก็อย่ามั่นใจว่าจะหลอกจิตได้ เพราะพลันที่ข้อมูลกรรมได้รับการบันทึกลงในจิตใจ ตัวเองก็จะกลายสภาพจากคนธรรมดาไปเป็นคนที่ถูกพลังลึกลับดึงดูดเข้าหาความหายนะทันที ...
คำถามอยู่ที่ว่าเมื่อไหร่เท่านั้น!!
พระพุทธเจ้าถูกพระเทวทัตลอบทำร้ายเพราะผลของเศษกรรม
พระโมคคัลลานะถูกโจรรุมฆาตกรรมเพราะผลของกรรมเก่า
-----------------------------------------------------------------------