บันทึกเลือด !!! สหรัฐฆ่าล้างเผ่าพันธุ์กบฏโมโร 111 ปีก่อน สังหารมากกว่า 1,000 ศพ

ติดตามรายละเอียด deeps.tnews.co.th

บันทึกเลือด !!! สหรัฐฆ่าล้างเผ่าพันธุ์กบฏโมโร 111 ปีก่อน สังหารมากกว่า 1,000 ศพ

ศพกบฏโมโรช่วงสงคราม Bud Dajo ใน Philippines 7 มีนาคม 1906
ที่มา
http://bit.ly/2c8S7WC

7 มีนาคม 1906 กองทัพสหรัฐอเมริกาตามคำสั่งนายพล Leonard Wood
ได้สังหารกลุ่มกบฏ Moros ที่เป็นชนเผ่ามุสลิมมากกว่า 1,000 ศพ
ขณะที่ตั้งมั่นสู้ตายที่ภูเขาไฟที่ดับแล้วชื่อ Bud Dajo ที่เกาะ Jolo ทางตอนใต้ Philippines

สงครามครั้งแรกที่ Bud Dajo หรือที่รู้จักกันว่าสงครามสังหารหมู่ Bud Dajo Massacre
คือการปะทะกันอย่างรุนแรงระหว่างสหรัฐอเมริกากับพวกโมโร ในเดือนมีนาคม 1906
เหตุการณ์นี้เป็นส่วนหนึ่งของสงครามซึ่งเกิดขึ้นระหว่างฟิลิปปินส์กับอเมริกัน
หลังจากที่สหรัฐอเมริกาได้ยุติสนธิสัญญา Bates Treaty ในเดือนมีนาคม 1904
พวก Moros ชนเผ่ากลุ่มนี้ก็เริ่มต่อต้านอำนาจพวกอเมริกัน
ด้วยการสร้างความรุนแรงและไม่ยอมเสียภาษี
แม้ว่า นายพล Leonard Wood ผู้ว่าการรัฐ Moro
จะได้พยายามสร้างความปรองดองและสมานฉันท์ในเกาะ Jolo
แต่ชนเผ่าโมโรกลุ่มนี้กลับก่อการร้ายบ่อยครั้งขึ้นอีก
และได้รับแรงยุจากหัวหน้าเผ่าว่า
พวกอเมริกันอ่อนแอเกินไปไม่สามารถหยุดพวกมันได้

เพื่อเตรียมรับมือกับพวกอเมริกันที่มีข่าวลือว่าจะมากำจัดพวกตน
ชนเผ่ากลุ่มนี้หลายร้อยคนทั้งผู้หญิงและเด็กต่างอพยพไปอยู่ที่ Bud Dajo
สถานที่เดิมเป็นที่ตั้งจิตวิญญาณ/ที่เคารพสักการะ
ก่อนที่ชนเผ่ากลุ่มนี้จะเปลี่ยนมานับถือศาสนาอิสลาม
Bud Dajo เป็นภูเขาไฟที่ดับสนิทแล้วอยู่ห่างจากเมือง Jolo 6 ไมล์
มีสภาพเป็นป่าดงดิบมีความสูงชันถึง 2,100 ฟุต
มีทางเข้าออกแคบ ๆ เพียง 3 เส้นทางจึงง่ายต่อการป้องกันกับตั้งรับศัตรู

ผลการเจรจาต่อรองอย่างฉันท์มิตรระหว่างทั้งสองฝ่ายล้มเหลว
ในการยุติการก่อการร้ายจากพวกชนชั้นนำ (datus) โมโร
Wood จึงตัดสินใจทำการรบในวันที่ 6 มีนาคม 1906
เพื่อทำล้ายล้างฐานที่มั่นใน Bud Dajo และยุติการก่อการร้าย
ด้วยกองทัพสหรัฐกับกองกำลังผสมฟิลิปปินส์
ภายใต้การนำของพันเอก Joseph W. Duncan
ด้วยการยิงปืนใหญ่กรุยทางและยิงกดหัวฝ่ายตรงข้ามไม่ให้โงหัวขึ้นมาสู้
ตอนเย็นวันที่ 6 มีนาคม ฝ่าย Duncan ก็หยุดพักรบกลางทางก่อนตกค่ำ
ท่ามกลางความมืดพวกกบฎโมโรต่างตีฆ้องร้องตะโกนปลุกเร้ากันอย่างบ้าคลั่ง
ขณะที่กองโจรโมโรพยายามโจมตีกองทัพที่พักรบเป็นครั้งคราว

บันทึกเลือด !!! สหรัฐฆ่าล้างเผ่าพันธุ์กบฏโมโร 111 ปีก่อน สังหารมากกว่า 1,000 ศพ

ปืนใหญ่ทหารอเมริกันที่รบกับพวกโมโร  ช่วงปี 1899–1913  ที่มา http://bit.ly/2cgz1hR

7 มีนาคม 1906 ในวันรุ่งขึ้น
การรบยังคืบหน้าต่อไปด้วยประสิทธิภาพของปืนใหญ่
มีการปะทะกันอย่างหนักเป็นครั้งคราว
แม้ว่าพวกโมโรจะแกล้งตายหลายคน
แล้วลุกขึ้นมาสู้กับลอบทำร้ายกับทหารฝ่าย Duncan
หลายต่อหลายครั้งตอนบุกเข้าใกล้ยอดเขา
ในที่สุดกองทัพอเมริกันได้ยึดฐานที่มั่น
และพื้นที่ของพวกกบฏโมโรได้ทั้งหมดในวันที่ 8 มีนาคม 1906
Wood รายงานสั้น ๆ ให้รัฐบาลอเมริกันว่า

“ พวกต่อต้านทั้งหมดถูกฆ่าตาย ได้นับศพเท่าที่นับได้และเท่าที่อยู่ใกล้ ๆ ”

ในการสู้รบฝ่ายอเมริกันตาย 18 บาดเจ็บ 52
Wood ประมาณการว่าฝ่ายศัตรูทั้งเด็กและผู้หญิงตายมากกว่า  600
แต่มีบางคนประมาณการว่ามากกว่า 900
ศพต่างถูกฝังรวมลึก 5 ฟุต บางศพมีรอยบาดแผลหลายแห่ง
มีเชลยที่ถูกจับเป็นได้เพียง 7 คนเป็นผู้หญิง 3 และเด็ก 4
ส่วนผู้ชายหนีรอดตายไปได้ 18 คน
แต่บางทีอาจจะมากกว่านี้ 2 เท่าก็ได้
ขณะเดียวกัน Wood ได้มีคำสั่งให้ตรวจสอบโทรเลขทุกฉบับ
ที่รายงานเหตุการณ์ครั้งนี้ให้กับบุคคลภายนอก

แม้ว่าเจ้าหน้าที่รัฐสหรัฐอเมริกาจะระบุว่า
สงคราม Bud Dajo คือชัยชนะการรบครั้งสำคัญของ Wood
แต่สำนักข่าวบางแห่งในสหรัฐอเมริกากลับระบุว่า
การรบครั้งนี้ไม่ต่างจากการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์คนไม่มีทางสู้
เพราะพฤติกรรมพวกนักรบโมโรมักจะพาลูกเมียติดตามไปด้วยทุกครั้ง
บางสำนักข่าวระบุว่า Wood ควรปิดล้อมจนกว่าพวกนี้ยอมจำนนมากกว่า
อย่างไรก็ตามประธานาธิบดี Theodore Roosevelt
ได้ส่งโทรเลขแสดงความยินดีกับ Wood
ร่วมกับ รัฐมนตรีกระทรวงกลาโหม William Howard Taft

Wood ได้ตอบข้อซักถามผู้สื่อข่าวถึงวิกฤตการณ์ Bud Dajo ครั้งนั้น
ถึงสาเหตุที่มีผู้หญิงและเด็กล้มตายเป็นจำนวนมาก
เพราะผู้หญิงจะแต่งกายเลียนแบบผู้ชายและเข้าร่วมรบด้วย
ส่วนพวกเด็กจะทำหน้าที่เป็นโล่ห์มนุษย์หรือแนวป้องกัน
ผู้ว่าการรัฐฟิลิปปินส์ Henry Clay Ide
ก็ให้การยืนยันคำธิบายทำนองเดียวกัน
ถึงเรื่องผู้หญิงกับเด็กมีส่วนร่วมมือในการก่อการร้าย
ทำให้ถูกฆ่าตายในระหว่างทำการสู้รบแต่ละครั้ง

และแล้วทุกอย่างก็สงบลง
ผู้นำศาสนาและสุลต่าน Sulu ของเขตปกครองนี้
เชื่อว่าปฏิบัติการที่ Bud Dajo จะทำให้พื้นที่แห่งนี้
จะมีความสงบ/เสถียรภาพในระยะยาว
แต่โชคร้ายยังมีการสู้รบตามมาอีกหลายครั้ง
จากพวกชนเผ่าโมโรที่ยังหลงเหลืออยู่
เลียนแบบทำสงครามที่ Bud Dajo ในปี 1911
และที่ Bud Bagsak ในมิถุนายน ปี 1913

บันทึกเลือด !!! สหรัฐฆ่าล้างเผ่าพันธุ์กบฏโมโร 111 ปีก่อน สังหารมากกว่า 1,000 ศพ

บันทึกเลือด !!! สหรัฐฆ่าล้างเผ่าพันธุ์กบฏโมโร 111 ปีก่อน สังหารมากกว่า 1,000 ศพ

หมายเหตุ

Moro คือชื่อเรียกชนเผ่ารวมหลายกลุ่มที่อยู่ในฟิลิปปินส์
แต่ชนเผ่ากลุ่มนี้ที่รบอย่างดุเดือดมากที่สุดกับสหรัฐจนเป็นตำนาน
รวมทั้งสุลต่านที่ดูแลเขตพื้นที่นี้ลึก ๆ ก็ไม่ชอบชนเผ่ากลุ่มนี้
แม้กระทั่งในปัจจุบันชื่อชนเผ่านี้ก็ยังกวนเมืองในฟิลิปปินส์อยู่
มีชื่อว่ากองกำลังติดอาวุธมุสลิมโมโรที่แถวหมู่เกาะมินดาเนา
ที่อยู่ระหว่างการเจรจาสงบศึกแต่ไม่เคยสงบศึกจริง

เมื่อเร็ว ๆ นี้พวกโมโรก็เพิ่งวางระเบิดในเมือง Santos
ทำให้ประธานาธิบดีฟิลิปปินส์ Duterte
ประกาศคำสั่ง รัฐไร้กฎหมาย
นั่นคือ การปราบปรามยิงทิ้งพวกก่อการร้าย/แนวร่วมได้ทันที
ไม่ต้องดำเนินคดี/ชัณสูตรพลิกศพตามกฎหมาย
หรือแบบว่าฆ่าให้ตายแล้วตายเลย  ตายฟรีไม่มีคดีติดตัวคนยิง
เหมือนการปราบปราบยาเสพติดที่มีคนตายกว่า 2,000 ศพแล้ว
ผู้ที่ยุ่งเกี่ยวกับยาเสพติดยอมมอบตัวติดคุกมากกว่า 100,000 คน
เพราะสำนึกดีว่าติดคุกยังมีโอกาสรอดตายมากกว่าถูกยิงตายฟรี

ชนเผ่า Moro ส่วนมากยังอยู่ใน Mindanao Sulu และ Palawan
ประมาณการว่ามีมากกว่า 5 ล้านคนในฟิลิปปินส์
มีการโยกย้ายถิ่นฐานตั้งแต่ศตวรรษที่ 16 จนถึงทุกวันนี้
ในฟิลิปปินส์จะพบชนเผ่านี้ในเมืองใหญ่เช่น Manila Cebu และ Davao

ผลความขัดแย้งช่วงศตวรรษที่ 20 ทำให้มีการอพยพลี้ภัย
ไปอยู่ที่ Malaysia Indonesia และ Brunei
จะพบชนเผ่านี้ได้ใน  Kota Kinabalu Sandakan Semporna และ  Sabah ใน Malaysia
North Kalimantan ใน Indonesia และใน Bandar Seri Begawan ที่ Brunei

อนึ่ง คนมุสลิมมีเมียได้ 4 คน
ห้ามคุมกำเนิดถือว่าบาป
เหมือนกับศาสนาคริสต์นิกายโรมันคาทอลิค
แม้ว่าจะห้ามคุมกำเนิดแต่มักไม่ได้ผล
ทำให้ประชากรมุสลิมเกิดมากกว่าหลายชาติพันธุ์

สุลต่านที่นับถือศาสนาอิสลามมีเมียได้ไม่เกิน 4 คน
แต่มีนางบำเรอได้ไม่จำกัดจำนวน
จนต้องมียูนุค(ขันที)ไว้ดูแลฮาเร็ม


เรียบเรียง/ที่มา

http://bit.ly/2c8S7WC
http://bit.ly/2bPz2oT
http://bit.ly/2cgz1hR

 

เรื่องเล่าไร้สาระ

ผู้ชนะเขียนประวัติศาสตร์
ผู้ชนะมักจะมีสิทธิพิเศษเสมอ
ประวัติศาสตร์ผู้แพ้มักจะเป็นแค่ตำนาน

ฟิลิปปินส์เคยเป็นเมืองขึ้นพวกโพธิเกศ(โปรตุเกส)
ก่อนตกเป็นเมืองขึ้นสเปญแล้วตามด้วยสหรัฐอเมริกา

มักจะเล่ากันว่าปืน 11 มม.ที่คนไทยเรียกกัน
ผลิตขึ้นเพราะพวกกบฏโมโร
ที่พวกมันถูกยิงแล้วมักจะวิ่งเข้าใส่แล้วฟันด้วยมีดหรือลุกขึ้นมาต่อสู้อีก
จึงต้องผลิตปืนแบบนัดเดียวจอด One Shot Dead
ปืนรุ่นนี้ผลิตขึ้นในปี 1911
หลังการรบกับพวกกบฏโมโรในปี 1906
และมีการใช้งานในสนามรบจริงครั้งแรกในฟิลิปปินส์ด้วย

บันทึกเลือด !!! สหรัฐฆ่าล้างเผ่าพันธุ์กบฏโมโร 111 ปีก่อน สังหารมากกว่า 1,000 ศพ

ปืน 11 มม.หรือ M1911  ที่มา http://bit.ly/1TLruXC

 

สงครามในอีรัค ซีเรีย อัฟกานิสถาน
ทหารสหรัฐมักจะอ้างและยืนยันว่า
มีการใช้เด็ก/ผู้หญิงพกพาอาวุธ/ส่งอาวุธ/ทำการรบ
และทำตัวเป็นแนวป้องกันที่มีชีวิตหรือโล่ห์มนุษย์
บางครั้งก็พกระเบิดพลีชีพเข้าร่วมในการรบ

ยิว จีน ญี่ปุ่น และรัสเซีย
ชาติเหล่านี้จะโหดสัตว์มากกว่าหลายประเทศ
มักจะประกาศล่วงหน้าไว้เลยว่า
ถ้าคุณเป็นตัวประกันให้ถือว่าเตรียมตัวตายได้เลย
ถ้ารอดตายได้ถือว่าคุณโชคดี

ใครก็ตามที่ให้การช่วยเหลือ/ให้แหล่งพักพิงพวกก่อการร้าย
ให้ถือว่าเป็นพวกก่อการร้ายทั้งสิ้น
ปฏิบัติการทางทหารจะไม่มีการแยกแยะเด็ก/สตรี/ตัวประกัน
ทำให้การสนับสนุน/ให้ความร่วมมือกับพวกก่อการร้ายลดลงทันที
รวมทั้งพวกโจรก่อการร้ายมักจะตายในที่เกิดเหตุทุกครั้ง
หรือตายหลังจากนำส่งโรงพยาบาลแบบปล่อยให้ตายไม่ให้รักษา
ทำให้ชาติเหล่านี้ข่าวการจับตัวประกันต่อรองแทบไม่มีเลย

ญี่ปุ่นหลังสงครามโลกครั้งที่ 2
มีการจับตัวคนไปเรียกค่าไถ่กันมาก
รัฐบาลญี่ปุ่นเลยมีคำสั่งว่า
ให้ญาติพี่น้องทำพิธีศพเหยื่อค่าไถ่รอได้เลย
ถ้าญาติพี่น้องคนใดเจรจาต่อรองค่าไถ่กับโจร
ให้ลงโทษเท่ากับโจรเรียกค่าไถ่
ข้อหาให้ความร่วมมือกับโจรเรียกค่าไถ่
เหตุการณ์ร้ายจึงค่อยสงบลง
เพราะโจรกลัวตายมากกว่ากลัวไม่ได้เงิน
และกฎหมายยังมีผลบังคับใช้อยู่จนทุกวันนี้

ส่วนจีนความที่มีพลเมืองมากกว่าหลายชาติ
เวลาคนจีนตายมาก ๆ ก็มักจะบอกแค่ 1% หรือไม่ถึง 1%
ในช่วงสงครามสั่งสอนเวียตนามหลายปีก่อน
กับยุคปฏิวัติวัฒนธรรมจีนของเหมาเจ๋อตุง
มีคนจีนตายหลักล้านคนขึ้นไป
คิดจากประชากรร่วม 800 ล้านคนถึง 1,000 ล้านคน

ซึ่งถ้าคิดในมุมกลับจีนก็โหดพอ ๆ กับ
อดอล์ฟ ไอชมันน์ จอมโหดนาซีเยอรมันนี
นักฆ่าชาวยิวระดับตำนานนับล้านศพ
ที่เคยให้สัมภาษณ์หนังสือพิมพ์ว่า

" ร้อยคนพันคนเป็นโศกนาฏกรรม
แต่หมื่นคนแสนคนเริ่มเป็นสถิติ "

แต่สุดท้ายมันถูกแขวนคอจนกระทั่งตายที่ยิว
หลังผ่านการพิจารณาคดีในชั้นศาล
โดยยิวลักพาตัวมาจากอาร์เยนติน่า
เรื่องการตามล่าฆาตกรรายนี้มันส์มาก
ทั้งในหนังและหนังสือที่เขียนโดยคนตามล่าฆาตกร

ข้อมูลเพิ่มเติม อดอล์ฟ ไอชมันน์ (ไทย)

http://bit.ly/2bQEa0M
http://bit.ly/2ckrZXY

 

 

คนไทยพลัดถิ่น

ประมาณการกันว่า ชนเผ่าสยาม
อยู่กระจัดกระจายพอ ๆ กับชนเผ่าโมโร
ที่ลี้ภัยไปประเทศมุสลิมด้วยกัน

คนสยาม/โอรังเซียม มีราว 2.0 ล้านกว่าคนในสยามรัฐเดิม
ไทรบุรี(เกดาห์) กลันตัน ตรังกานู ปะลิศ ปีนัง
มาเลย์มักจะไม่ระบุว่ามีวัดไทย
กับคนไทยอยู่ด้านอุตตระ(เหนือ)
มักจะระบุว่า ภูมิปุตรา (ภูมิ=พื้นที่ ปุตรา=คน/ลูก)

ช่วงมหาเธร์จะประกาศใช้กฎหมายภูมิปุตรา
ให้สิทธิ์คนพื้นเมืองมากกว่าคนชาติอื่น ๆ
คนสยามเลยมารายงานตัวว่าเป็นคนไทยพลัดถิ่น
ที่อำเภอชายแดนไทยที่ติดกับมาเลย์
วันละหลายหมื่นคนทีเดียวเมื่อหลายสิบปีก่อน
เรื่องนี้อดีตนายอำเภอที่ชายแดนเล่าให้ฟัง

คนสยามมักอ้างว่าตกค้างสมัยรัชกาลที่ 5
ตอนยกดินแดนให้อังกฤษแล้วไม่มารายงานตัว
กับตอนสงครามเอเซียบูรพาที่ได้ดินแดนคืน
ระบุว่าเอกสารหลักฐานความเป็นคนไทยไม่มีแล้ว
แต่ขอพิสูจน์ว่าเป็นคนไทยจากภาษา/ญาติพี่น้องฝั่งไทย
บางคนก็ทำเนียนเผื่อได้ 2 สัญชาติ
บางคนที่กลมกลืนเป็นคนมาเลย์ไปแล้วก็ทำเฉย ๆ

สุดท้ายมาเลย์ต้องยอมให้คนสยามเป็นคนภูมิปุตรา
เพราะกลัวมีปัญหากระทบกระทั่งชายแดนกับไทย
ไทยอาจจะเรียกร้องเรื่องดินแดนสยามรัฐเดิม
และไทยจะสนับสนุนพรรคคอมมิวนิสต์มาลายาที่รบกับมาเลย์
แล้วมาเลย์ก็ค่อย ๆ กลืนเชื้อชาติคนสยามไปในที่สุด

ส่วนทางพม่าแถวด่านสิงขร
แถวมะริด ทวาย ตะนาวศรี ฝั่งตะวันตกของไทย
มักจะอ้างว่าตกค้างสมัยรัชกาลที่ 5
ส่วนแถวภาคเหนือแถวเชียงแสน เชียงรุ้ง เชียงตุง
มักจะอ้างว่าตกค้าง 2 สมัยเหมือนกับ
ที่ชายแดนไทยเขมร เกาะกง เสียมราษฏร์ พระตะบอง ศรีโสภณ
ช่วงเขมรแตก ช่วงเฮง สัมรินและเวียตนามชนะศึกเขมรแดง
ส่วนคนลาวมักจะเนียนกว่าแทบไม่มารายงานตัว
เพราะมีญาติพี่น้องฝั่งไทยมากกับไปมาหาสู่ประจำ

การรายงานตัวว่าเป็นคนไทยพลัดถิ่น
ถ้าผ่านการพิจารณาจากราชการไทย
ก็ได้รับสิทธิประโยชน์เหมือนคนไทย
(30 บาทรักษาโรค การเรียน การทำงาน สิทธิอื่น ๆ)

 

บันทึกเลือด !!! สหรัฐฆ่าล้างเผ่าพันธุ์กบฏโมโร 111 ปีก่อน สังหารมากกว่า 1,000 ศพ

(ขอบคุณที่มาข้อมูล  :  ผู้เขียน  ravio  เวปไซด์พันทิป ดอทคอม  https://pantip.com/topic/35566790)