- 03 ส.ค. 2561
ราคาทองคำ Gold spot ปรับตัวร่วงต่ำในรอบ 1 ปี เป็นแรงกดดันให้สกุลเงินดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าขึ้น ภายหลังธนาคารกลางสหรัฐ
เรียกว่าเป็นข่าวดีให้หลายคนที่ต้องการซื้อทองเก็บไว้ หลังจากราคาทองคำ Gold spot ปรับตัวร่วงต่ำในรอบ 1 ปี เป็นแรงกดดันให้สกุลเงินดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าขึ้น ภายหลังธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) แถลงการประชุมเมื่อคืนนี้ (2 ส.ค.) ว่าจะค่อยๆ ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในปีนี้ ส่งผลให้ประเทศไทยเงินบาทอ่อนชะลอไม่ไหวร่วงต่ออีก 50 บาท จากผลกระทบของการดีดตัวขึ้นสูงนี้ รวมทั้งเงินดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าขึ้นแตะที่ 94.90 ของคืนที่ผ่านมา กดดันให้ราคา spot ดิ่งลงกว่า 11% ต่ำสุดในรอบ 1 ปี จากปัจจัยที่กล่าวมานี้ส่งผลกระทบโดยตรงต่อราคาทองคำในบ้านเราอย่างเห็นได้ชัด โดยตั้งแต่เช้าวันศุกร์ ของวันนี้ (3 ส.ค.) ราคาทองปรับลงอีก 50 บาท ซึ่งถ้าเราย้อนดูราคาทองเมื่อ 5 วันก่อน จะเห็นว่า มีตัวเลขติดลบ 50 เป็นเวลา 4 วันแล้ว ซึ่งวันที่ 2 ก.ค. นั้นเป็นเพียงวันเดียวที่ตัวเลขคงที่
ทั้งนี้สมาคมค้าทองคำ ได้ออกมาเปิดเผยเกี่ยวกับการปรับลง 50 บาท ตั้งแต่วันที่ 31 ก.ค. โดยทองแท่งจะรับซื้อบาทละ 19, 200 บาท ขายออกบาทละ 19,300 บาท ทองรูปพรรณรับซื้อบาทละ 18,859.04 บาท ราคาต่างประเทศอยู่ที่ 1,221 ดอลลาร์สหรัฐ / ออนซ์ ค่าเงินบาทอยู่ที่ 33.35 บาท / ดอลลาร์ และล่าสุดราคาทองคำวันนี้ 3 ส.ค. 61 ราคาทองแท่งรับซื้อบาทละ 19,050 บาท ขายออกบาทละ 19,150 บาท ทองรูปพรรณรับซื้อบาทละ 18,707.44 และขายออกบาทละ 19,650 บาท
หากเปรียบเทียบราคาทองคำในครึ่งปี 61 นั้น ตั้งแต่งเดือนมกราคม - เดือนสิงหาคม จะเห็นได้ว่าราคาตั้งแต่เดือนกรกฎาคม นั้นมีการปรับลงของราคาทองคำถึง 350 บาท ยาวมาถึงเดือน สิงหาคม จนถึงวันที่ 3 ส.ค. ปรับลงอีก 150 บาท ระยะเวลาเพียง 3 วัน เท่านั้น มีเพียงเดือนพฤษภาคม ที่ปรับขึ้น 50 บาท และหากย้อนกลับไป 7 ปี ก่อนหน้าปี 2561 จะเห็นได้ชัดว่ามีอัตราการปรับขึ้นของทองคำตลอดทั้งปีดังนี้
1. ปี 2555 ปรับขึ้นรวมตลอดปีอยู่ที่ 1,150 เห็นได้ว่าถือเป็นปีที่ราคาทองคำนั้นปรับขึ้น โดยเฉพาะเดือนมกราคม ที่ปรับขึ้น 1,900 บาท อาจมีลดลงบางในเดือนมีนาคม ที่ 1,250 บาท จนจบตลอดทั้งปีที่การปรับขึ้น 1,150 บาท
2. ปี 2556 ปรับลงรวมตลอดปีอยู่ที่ 5,300 ในปี 2556 เป็นปีของการปรับตัวลงของราคาทองคำ สูงสูดใน 7 ปีนี้
3. ปี 2557 ปรับขึ้นรวมตลอดปีอยู่ที่ 400 ถือว่ายังคงที่ในการปรับลดลง ในแต่ละเดือน แต่จะปรับขึ้นในเดือน กุมภาพันธ์ มากที่ 1,050 บาท จากนั้นจึงค่อยๆ ลดลงตามลำดับ
4. ปี 2558 ปรับขึ้นรวมตลอดปีอยู่ที่ 300 ปี 2558 นั้น ยังเป็นปีที่คงที่ของราคาทองปรับขึ้นไม่มากไม่น้อยจนเกินไป
5. ปี 2559 ปรับขึ้นรวมตลอดปีอยู่ที่ 1,450 เป็นปีที่มีการปรับราคาทองขึ้นมากที่สุดอีกปีหนึ่ง โดยจะปรับขึ้นมากที่สุดในเดือนกุมภาพันธ์ ถึง 1,900 บาท
6. ปี 2560 ปรับขึ้นรวมตลอดปีอยู่ที่ 350 ราคาทองที่ปรับขึ้นในปีนี้ยังอยู่ในขั้นทรงตัว ไม่ขึ้นมากและไม่ลงมาก โดยเดือนสิงหาคม ปรับขยับขึ้นที่ 550 บาท ถือว่าสูงสุดในปี 2560
7. ปี2561 ปรับขึ้นรวมตลอดปีอยู่ที่ 950 ยังต้องจับตามองกันอยู่ตลอดกับราคาทองคำที่ผ่านมาครึ่งปี มีการติดลบไป 950 บาท โดยติดลบอย่างต่อเนื่องตั้งแต่กลางเดือนกรกฎาคม จนถึงเดือนสิงหาคม
ทั้งนี้ปัจจัยสำคัญที่เป็นตัวกำหนดราคาทองคือ
1.ค่าเงินเหรียญสหรัฐฯ
โดยทั่วไปราคาทองคำจะเพิ่มขึ้น เมื่อค่าเงินเหรียญสหรัฐฯ อ่อนค่าลง เพราะการซื้อทองคำเป็นการป้องกันความเสี่ยงในมูลค่าของเงินเหรียญสหรัฐฯ เนื่องจากค่าเงินเหรียญสหรัฐฯ เป็นเงินสกุลหลักที่ใช้เป็นตัวกลางในการแลกเปลี่ยนระหว่างสกุลเงินต่างๆ ทั่วโลก ดังนั้นเมื่อค่าเงินเหรียญสหรัฐฯ มีสัญญาณอ่อนค่าลง ธนาคารกลางประเทศต่างๆ ที่ถือครองเงินเหรียญสหรัฐฯ มักจะกระจายความเสี่ยง โดยแบ่งเงินไปลงทุนในสินทรัพย์อื่น เช่น เงินสกุลอื่นๆ รวมถึงทองคำ ส่งผลให้ราคาทองคำปรับตัวสูงขึ้นด้วย
2.ความกังวลเรื่องอัตราเงินเฟ้อ
หากปัจจัยอื่นคงที่ โดยทั่วไปราคาทองคำจะเพิ่มขึ้น เมื่ออัตราเงินเฟ้อสูงขึ้น เพราะทองคำเป็นสินทรัพย์ที่ป้องกันความเสี่ยงด้านอัตราเงินเฟ้อที่มีประสิทธิภาพ โดยเราจะสังเกตทิศทางอัตราเงินเฟ้อได้จากทิศทางราคาพลังงาน (น้ำมัน) และราคาอาหารต่างๆ เพราะเป็นปัจจัยที่มีผลต่อภาวะเงินเฟ้อโดยตรง
3. ความเสี่ยงทางการเมืองระหว่างประเทศและระบบการเงิน
ราคาทองคำมักจะปรับตัวเพิ่มขึ้นในช่วงที่มีความตึงเครียดทางการเมืองระหว่างประเทศ และความไม่แน่นอนสูงในระบบการเงินโลก เนื่องจากในระหว่างช่วงที่เกิดเหตุการณ์เหล่านั้น การขายสินทรัพย์ทางการเงินอื่นๆ มาถือครองทองคำแทนจะเพิ่มสูงขึ้นเพราะผู้ลงทุนมักจะป้องกันความเสี่ยงที่สินทรัพย์อื่นจะมีราคาตลาดลดลง ด้วยการย้ายมาถือครองทองคำ จะมากน้อยขึ้นอยู่กับความรุนแรงของเหตุการณ์แต่ละครั้ง
4.อุปสงค์และอุปทานในตลาด
หากปัจจัยอื่นคงที่ ราคาทองคำจะเพิ่มขึ้น เมื่อมีผู้ต้องการซื้อทองคำในปริมาณที่มากกว่าปริมาณทองคำที่มีในตลาด (Demand มากกว่า Supply) ทั้งนี้ อุปสงค์ (Demand) คือ ความต้องการใช้ทองคำนั้น ส่วนใหญ่มาจาก 3 กลุ่มหลัก ได้แก่ ภาคเครื่องประดับ ภาคอุตสาหกรรมการผลิตและการแพทย์ และภาคการลงทุน ภาคการลงทุนมีความต้องการทองคำเพิ่มขึ้นมากตั้งแต่ช่วงที่มี Credit Crisis ซึ่งมีสาเหตุมาจากข้อ 3 รวมถึงการที่ภาครัฐของประเทศต่างๆ มีการนำทุนสำรองไปซื้อทองคำมากขึ้น เพื่อลดความเสี่ยงจากการกระจุกตัวอยู่ในพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ เช่น จีน อินเดีย ที่มีเศรษฐกิจเติบโตอย่างรวดเร็ว เป็นต้น ส่วนอุปทาน (Supply) นั้น คือ ความต้องการขายทองคำ ส่วนใหญ่มาจาก 3 กลุ่มหลัก
ได้แก่ ผลผลิตทองคำจากเหมืองทอง แรงขายจากธนาคารกลางประเทศต่างๆ และปริมาณทองคำเก่าที่หมุนเวียนอยู่ในระบบ
5.ค่าเงินบาทเมื่อเทียบกับค่าเงินเหรียญสหรัฐฯ
ราคาทองคำในประเทศไทยจะปรับตัวเพิ่มขึ้นเมื่อค่าเงินบาทเทียบกับค่าเงินเหรียญสหรัฐฯ อ่อนค่าลง เนื่องจากประเทศไทยไม่สามารถผลิตทองคำได้เอง จึงต้องนำเข้าทองคำจากต่างประเทศเป็นหลัก ซึ่งตลาดทองคำโดยทั่วไป มักจะใช้เงินสกุลเหรียญสหรัฐฯ เป็นสกุลเงินอ้างอิงในการซื้อขาย ดังนั้น อัตราแลกเปลี่ยนระหว่างเงินบาทและเงินเหรียญสหรัฐฯ จึงเป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่มีผลกระทบต่อราคาทองคำในประเทศ ไทย
เมื่อรวมกันจึงเป็นตัวแปลงสำคัญในการที่ทำให้ราคาทองนั้นขึ้นลงตามลำดับ สำหรับปรัเทศไทยนั้นในช่วงนี้ถือเป็นโอกาสทองของหลายคนที่ต้องการซื้อเก็บไว้เนื่องจากราคาทองปรับลดลงอย่างต่อเนื่อง