"บิ๊กตู่" ยัน คงเจตนารมณ์สหกรณ์ ชูเป็นกลไกสร้างความเข้มแข็งเกษตรฯไทย - ให้กำลังใจเกษตรกร 10-20 ปีข้างหน้า มุ่งมั่นพัฒนาตน-มองอนาคตชาติ

ติดตามข่าวสารได้ที่ www.tnews.co.th

"พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา" กล่าวในรายการคืนความสุขให้คนในชาติ ประจำวันที่ 26 ก.พ.59 - เจตนารมณ์สหกรณ์คงเดิม เน้นความสำคัญเศรษฐกิจประเทศ ให้กำลังใจเกษตรกรให้พัฒนาตนเองไปพร้อมๆ กัน ภายใน 10-20 ปี ข้างหน้า

 


วันที่ 26 ก.พ.59 พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้ารักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) กล่าวในรายการคืนความสุขให้คนในชาติ โดยมีเนื้อหาว่า

 

 

 

 

 

 

นายกฯ: สวัสดีครับ พ่อแม่พี่น้องชาวไทยที่รักทุกท่าน

 

วันที่ 26 กุมภาพันธ์ ของทุกปี เป็น "วันสหกรณ์แห่งชาติ" เป็นกลไกสร้างความเข้มแข็งให้กับสังคมเกษตรกรรมไทย ที่มีอาชีพหลักก็คือการเกษตรนะครับมายาวนานกว่า 100 ปี ตั้งแต่ช่วงปลายสมัยรัชกาลที่ 5 เพื่อต้องการให้เข้าถึงแหล่งทุน สำหรับขยายกำลังการผลิต เปลี่ยนจากระบบเลี้ยงตัวเองในชนบท มาสู่ระบบเศรษฐกิจเพื่อการค้า ที่สำคัญก็คือการขจัดวงจรหนี้สิน การถูกเอารัดเอาเปรียบจากนายทุน

 

รัฐบาลขอสืบสานเจตนารมณ์เดิมของสหกรณ์ ในการสร้างความเข้มแข็งให้กับเศรษฐกิจฐานราก ล่าสุดนะครับ ผมก็ดีใจที่ได้เป็นประธานการมอบหนังสืออนุญาตให้เข้าทำประโยชน์ในเขตปฏิรูปที่ดิน เนื้อที่ 2,400 กว่าไร่นะครับ ให้กับสหกรณ์ปฏิรูปที่ดิน ระบำ จำกัด สำหรับจัดสรรที่ดินให้แก่เกษตรกรที่ไม่มีที่ดินทำกิน ราว 500 ราย ตามนโยบายของรัฐ เพื่อใช้ประโยชน์ในลักษณะ "แปลงรวม" ไม่ให้กรรมสิทธิ์ และบริหารกันเองนะครับ ซึ่งรัฐบาลจะดำเนินการให้ครบ ในแต่ละภูมิภาคของประเทศ ต่อไป

 

นอกจากนั้น รัฐบาลได้ขยายผล เสริม สร้างความเข้มแข็งให้กับภาคเกษตร กรรม คู่ขนานไปกับการส่งเสริมให้เป็น Smart Farmer ด้วยการผลักดันนโยบายสาธารณะอย่างเป็นระบบ ครบทุกมิติ ดูแลทั้งต้นทาง – กลางทาง – ปลายทาง อาทิ เช่นในเรื่องของการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานด้านการคมนาคมขนส่ง และด้านเทคโนโลยีสารสนเทศและสื่อสาร เพื่อจะขับเคลื่อนการนำสินค้าในท้องถิ่นสู่สายตาชาวโลก (หรือ Local to Global) ทั้ง OTOP ทั้ง 1 ตำบล 1 SME และส่งเสริมการประกอบการในลักษณะวิสาหกิจชุมชน(หรือ Social Enterprise) เป็นต้น
        


ทั้งนี้จะไม่เป็นเพียงสร้างโอกาสในการพัฒนาอย่างยั่งยืนเท่านั้นนะครับ เพื่อให้กับพี่น้องเกษตรกร มีเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันมากขึ้น ให้กับชุมชน และประเทศในภาพรวมนะครับ ผลประโยชน์โดยรวมจะเกิดขึ้นกับประเทศชาติในอนาคต แล้วเราจะได้ลดการพึ่งพาอาศัยจากปัจจัยภายนอกนะครับ ที่มีโอกาสที่จะผันผวนและควบคุมไม่ได้ตลอดเวลา ผมอยากให้เศรษฐกิจไทยสามารถ "ยืนบนลำแข้งของตนเอง" นะครับ เกื้อกูลกันในสังคม เข้มแข็งไปด้วยกัน


        
ในโอกาสนี้ ผมขอเป็นกำลังใจให้กับพี่น้องเกษตรกร ที่ต่อไปจะต้องพัฒนาเป็น Smart Farmer พัฒนาตนเอง และมองอนาคตตนเอง ประเทศชาติ 10 ปี 20 ปี เหมือนกับที่รัฐบาลนี้ กำลังสร้างค่านิยมใหม่ให้กับสังคมไทยนะครับ

 

สำหรับปัญหาเรื่องภัยแล้ง รัฐบาลยังคงเฝ้าติดตามสถานการณ์อยู่ อย่างต่อเนื่อง ปัจจุบันสภาพน้ำในอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่และขนาดกลาง มีปริมาตรรวม 39 ล้าน ลบ.ม. น้อยกว่าปี 58 จำนวน 5.3 ล้าน ลบ.ม.

 

โดยรัฐบาลต้องดูแล บริหารจัดการ หาน้ำมาเติม ฟื้นฟูแหล่งน้ำ รวมทั้งดำเนินการตามแผนยุทธศาสตร์การบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ ทั้งระบบ อย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ก็เพื่อให้เพียงพอต่อการใช้น้ำ ในส่วนที่ 1 นะครับ คือภาคการผลิต ได้แก่เกษตรกรรม อุตสาหกรรม และการอุปโภค-บริโภคนั้น หากเราสามารถควบคุม ประหยัด ลดการใช้น้ำลงได้ ตามมาตรการต่างๆ ของรัฐ ที่กำหนดมา ก็จะช่วยให้เรามีน้ำใช้ไม่ขัดสนในอนาคตนะครับส่วนที่ 2 คือ น้ำสำหรับผลักดันน้ำเค็ม เพื่อรักษาระบบนิเวศน์นั้น เป็นไปตามธรรมชาติ การขึ้น-ลง การหนุนของน้ำทะเล เราไม่สามารถจะควบคุมได้นะครับ แต่สามารถคาดการณ์ล่วงหน้าได้

 

ที่ผ่านมา รัฐบาลได้มีมาตรการช่วยเหลือเกษตรกร ซึ่งเป็นผู้ใช้น้ำกลุ่มหลักของประเทศ ที่ได้รับผลกระทบจากภัยแล้งหลายอย่างด้วยกันนะครับ อาทิเช่น


          1) การส่งเสริมความรู้และการสนับสนุนปัจจัยการผลิต เพื่อลดรายจ่ายในครัวเรือน
          2) การชะลอหรือขยายระยะเวลาการชำระหนี้ที่เกษตรกรมีภาระหนี้กับสถาบันการเงิน
          3) การจ้างงานเพื่อสร้างรายได้ให้แก่เกษตรกร ทั้งการจ้างแรงงานชลประทานนะครับ หรือการจ้างงานเร่งด่วน และการพัฒนาทักษะฝีมือแรงงาน
          4) การเสนอโครงการตามความต้องการของชุมชน เพื่อบรรเทาผลกระทบภัยแล้ง
          5) การเพิ่มประสิทธิภาพการใช้น้ำ เช่น ให้ทุกส่วนราชการรณรงค์การใช้น้ำอย่างประหยัด และส่งเสริมการปลูกข้าวโดยวิธีเปียกสลับแห้ง
          6) การเพิ่มปริมาณน้ำต้นทุน ทั้งการปฏิบัติการของหน่วยฝนหลวง การขุดลอกแหล่งน้ำธรรมชาติเพิ่มเติม การพัฒนาแหล่งน้ำบาดาล – แก้มลิง – ขนมครก
          7) การเสริมสร้างสุขภาพและความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน
          8) ตลอดจนการสนับสนุนอื่นๆ นะครับ เช่น การช่วยเหลือเกษตรกรผู้ประสบภัยพิบัติตามระเบียบของกระทรวงการคลัง ว่าด้วยเงินทดรองราชการเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน พ.ศ. 2556 และแผนสินเชื่อสนับสนุนเศรษฐกิจชุมชน – สหกรณ์ เป็นต้น นะครับ

 

ทุกอย่างจะเสริมกันทั้งหมดนะครับ ทั้งนี้นอกจากจะช่วยบรรเทาความเดือดร้อน ในการประกอบอาชีพ และการใช้ชีวิตของพี่น้องเกษตรกรแล้ว รัฐบาลยังมุ่งหวังที่จะลดปริมาณการใช้น้ำในส่วนนี้ลง ด้วยการสร้างแรงจูงใจ สมัครใจในการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมต่างๆ

 

ปัจจุบัน รัฐบาลได้ผลักดันนโยบายที่จะเสริมสร้างความเข้มแข็งให้กับภาคเกษตรกรรมอีกนะครับ โดยที่ประชุมคณะรัฐมนตรีมีมติ เห็นชอบมาตรการช่วยเหลือผู้ประสบปัญหาภัยแล้งและมาตรการเพิ่มขีดความสามารถทางการเกษตร ที่กระทรวงการคลังเสนอเพิ่มเติมนะครับ เพื่อบรรเทาปัญหาภัยแล้งในระยะเร่งด่วน ที่จะส่งผลต่อความเป็นอยู่ รายได้ กิจกรรมทางเศรษฐกิจและสภาวะสังคม ตลอดจนการเพิ่มขีดความสามารถภาคการเกษตรของ รวมทั้งเป็นการบรรเทาผลกระทบจากปัญหาภัยแล้ง และภัยธรรมชาติอื่นๆ ในระยะกลาง ซึ่งจะประกอบไปด้วย

 

          (1) โครงการสินเชื่อเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายฉุกเฉินและจำเป็นของเกษตรกรที่ประสบภัยแล้ง ปี 2558/2559 วงเงิน 6,000 ล้านบาท โดยให้สินเชื่อไม่เกิน 12,000 บาท/ราย กำหนดชำระคืนเงินกู้ไม่เกิน 1 ปี ไม่มีดอกเบี้ย กลุ่มเป้าหมายก็คือเกษตรกรลูกค้ารายย่อยของ ธ.ก.ส. จำนวน 500,000 ราย ที่ได้รับผลกระทบจากภัยแล้ง ทำให้ไม่สามารถทำการผลิตได้ หรือผลผลิตได้รับความเสียหาย ทำให้มีรายได้ลดลง เพื่อจะใช้เป็นค่าใช้จ่ายในครัวเรือนเป็นการชั่วคราวนะครับ พร้อมทั้งก่อให้เกิดการใช้จ่ายหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจ และช่วยป้องกันการก่อหนี้สินนอกระบบของเกษตรกร

 

          (2)โครงการต่อไปคือ โครงการสินเชื่อ 1 ตำบล 1 SME ด้านการเกษตรนะครับ เพื่อสร้างความยั่งยืนของภาคเกษตรไทย วงเงิน 72,000 ล้านบาท วงเงินกู้ไม่เกิน 20 ล้านบาทต่อราย เป็นสินเชื่อระยะเวลาเงินกู้ไม่เกิน 10 ปี มีอัตราดอกเบี้ยร้อยละ 4 ต่อปี สำหรับผู้ประกอบการวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) ภาคการเกษตร ทั้งรายคน วิสาหกิจชุมชน สหกรณ์การเกษตร หรือบริษัทชุมชน จำนวน 7,200 ราย ในการสร้างมูลค่าเพิ่มสินค้าการเกษตรนะครับ และกระตุ้นให้เกิดการจ้างงาน

 

          (3) ต่อไปเป็นโครงการชุมชนปรับเปลี่ยนการผลิตสู้วิกฤติภัยแล้ง วงเงิน 15,000 ล้านบาท วงเงินกู้ไม่เกิน 3 ล้านบาทต่อกลุ่ม กำหนดชำระคืนเงินกู้ไม่เกิน 1 ปี มีอัตราดอกเบี้ย ร้อยละ 0.01 ต่อปี สำหรับเกษตรกรในพื้นที่ประสบวิกฤติภัยแล้ง ในลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยาและพื้นที่ลุ่มแม่น้ำแม่กลอง รวม 26 จังหวัด จำนวน 100,000 ราย ที่มีความสมัครใจและตั้งใจ ในการปรับ เปลี่ยนโครงสร้างการผลิตอย่างแท้จริง และผ่านการคัดเลือกจากชุมชน โดยจะให้ใช้เป็นค่าเช่าที่ดิน ค่าปัจจัยการผลิต และค่าจ้างแรงงานให้กับเกษตรกร

 

อย่างไรก็ตาม การบริหารจัดการน้ำ ยังคงต้องมองไปในอนาคตปี 60 ด้วยนะครับ ซึ่งสภาพลมฟ้าอากาศ ยังเป็นสิ่งที่คาดเดาได้ยาก ดังนั้น เพื่อความไม่ประมาท ผมจึงขอความร่วมมือพี่น้องประชาชนทุกคน ทุกภาคส่วน ช่วยกัน “ประหยัด” ใช้น้ำเท่าที่จำเป็น ช่วยกันคนละไม้ คนละมือนะครับรัฐบาลก็ได้พยายามในเรื่องของการแก้ปัญหาระยะยาว ได้จัดทำแผนการบริหารจัดการน้ำระยะยางไปถึงปี 69 แล้วนะครับ

 

การดูแลพี่น้อง ชุมชน หมู่บ้าน ซึ่งที่ผ่านมาประสบปัญหาหลายประการมาด้วยกันนะครับ ไม่ว่าจะเป็นปัญหาภัยพิบัติทางธรรมชาติ ปัญหาต้นทุนการผลิตสูง และปัญหาราคาสินค้าตกต่ำ สาเหตุหนึ่งมาจากระบบโครงสร้างพื้นฐานในชุมชนยังไม่ได้รับการพัฒนา และขาดปัจจัยการผลิตที่จำเป็น ดังนั้น รัฐบาลจึงผลักดันโครงการเพิ่มความเข้มแข็งของเศรษฐกิจฐานรากตามแนวทาง “ประชารัฐ” ผ่าน “กองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมือง” จำนวน 79,556 กองทุนๆ ละไม่เกิน 500,000 บาท วงเงินรวม 35,000 ล้านบาท เพื่อใช้ในการลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐานในชุมชน อาทิเช่น ยุ้งฉางชุมชน โรงตากพืชผลทางการเกษตร โรงสีชุมชน โรงงานผลิตปุ๋ยประจำชุมชน การจัดทำแหล่งเก็บน้ำชุมชน และเครื่องจักรสำหรับแปรรูปผลผลิตทางการเกษตร เป็นต้น

 

หรือใช้ในการดำเนินกิจกรรมอื่นๆ ที่ชุมชนเห็นว่าเป็นประโยชน์ ในการส่งเสริมศักยภาพในการประกอบอาชีพ และความเป็นอยู่ในชุมชนให้ดีขึ้น ก็ถือว่าเป็นมาตรการเร่งด่วนนะครับ เราต้องการให้สามารถดำเนินการเบิกจ่ายให้ได้ภายใน 6 เดือน ทั้งนี้ก็เพื่อส่งเสริมความเข้มแข็งของเศรษฐกิจในระดับฐานรากที่สำคัญต่อการขับเคลื่อนและพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศ

 

ให้ครอบคลุมทั้งกระบวนการ ตั้งแต่กิจกรรมด้านการผลิต การเพิ่มมูลค่าสินค้า และการตลาด อันจะส่งผลให้ชุมชนพัฒนาอย่างมั่นคงแข็งแรงต่อไป นับเป็นมาตรการขยายผลความสำเร็จ ตามความต้องการของพี่น้องเกษตรกรนะครับ ผ่านกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมือง ทั้งนี้เพื่อจะส่งเสริมความเป็นอยู่ระดับหมู่บ้าน โดยได้มีการอนุมัติวงเงินสินเชื่อไว้เดิม 60,000 ล้านบาท นั้น รัฐบาลจะช่วย เหลือในเรื่องดอกเบี้ยนะครับ เป็นระยะเวลา 2 ปี มีกองทุนหมู่บ้าน รวม 5 หมื่นกว่ากองทุนนะครับ มีสมาชิกได้รับประโยชน์จากโครงการนี้กว่า 3 ล้านครัวเรือน นะครับ

 

ทั้งหมดนี้ แสดงให้เห็นถึงความห่วงใยของรัฐบาลและ คสช. ครับ / ขอให้ช่วยกันดูแลการใช้จ่ายการทำโครงการ่างๆ ให้เป็นไปอย่างโปร่งใสนะครับ แล้วก็เป็นธรรม ตามความต้องการของประชาชนอย่างแท้จริงนะครับ เราจะต้องสร้างความไว้เนื้อเชื่อใจระหว่างกันกัน ระหว่างข้าราชการส่วนกลาง ภูมิภาค ท้องถิ่น และ อปท. นะครับ รวมทั้งประชาชนในพื้นที่จะต้องไม่ขัดแย้งกันอีกต่อไป เราต้องทำโครงการให้ตรงตามวัตถุประสงค์ เพื่อให้เกิดความยั่งยืน ดีกว่าไปแจกเปล่าๆนะครับ


        
สิ่งสำคัญที่ผมอยากเห็น คือ กลไกการทำงาน ที่ยึดหลักการ "ประชารัฐ" ที่มีส่วนร่วม ทั้งจากภาคประชาชน ภาคเอกชน และภาครัฐ ในการที่จะมุ่งเน้นพัฒนาภาคการผลิต การแปรรูป การตลาดอย่างครบวงจร ตลอดจนการบริหารจัดการพื้นที่การผลิตให้เหมาะสม ทั้งนี้จะต้องไม่มีความซ้ำซ้อนกับโครงการอื่นๆ นะครับ ภายใต้นโยบายการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของรัฐบาล จะได้สอดประสานกันนะครับ ในสิ่งที่ขาด ในโครงการอื่นๆนั้นมีมาหลายโครบการแล้วนะครับ ก็มีลักษณะการดำเนินงานเดียวกัน แต่จะต้องสอดแทรก ลงไปในส่องที่ยังไม่เพียงพอนะครับ ทั้งนี้จะต้องมีระบบการติดตามและการประเมินผล ที่มีประสิทธิภาพ โปร่งใส ตรวจสอบได้ ผมอยากเห็นพี่น้องร่วมกันทำงานอย่างจริงจังนะครับ เพื่อจะสร้างเอกภาพและมีมาตรฐานเดียวกัน

 

รัฐบาลพร้อมจะสนับสนุนการมีส่วนร่วมของ "อาสาประชารัฐ" ซึ่งก็จะเป็นพลังขับเคลื่อน อันเกิดจาก "แรงระเบิดจากภายใน" ที่ต้องการสังคมที่มีมาตรฐานและมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น เพราะความอยู่ดี กินดี มีความสุข มีรายได้ มีศักยภาพในการพัฒนาตนเอง จะทำให้หมู่บ้าน ชุมชน และสังคม สามารถพึ่งตนเอง มีความเข้มแข็ง อย่างยั่งยืน เป็นการสร้างความสามัคคี ความปรองดองไปด้วยนะครับ นำไปสู่การช่วยกันในเรื่องการพัฒนา ด้านเศรษฐกิจ และสังคม ด้านการเมืองการปกครอง และอื่นๆ ทั้งนี้ก็เพื่อประโยชน์สุขของประชาชนชาวไทยทุกคน นะครับ

 

สำหรับการน้อมนำแนวพระราชดำริและหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงไปสู่การปฏิบัติในทุกระดับนั้น ก็ถือว่าเป็นภารกิจสำคัญ ที่รัฐบาลกำลังดำเนินการอยู่ เพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตของพี่น้องประชาชน โดยเฉพาะในถิ่นทุรกันดาร พื้นที่ห่างไกล ให้พ้นจากความยากจน ลดความเหลื่อมล้ำด้าน ที่มีอยู่แล้วเดิมให้มีความเป็นอยู่อย่างพอเพียง ดีขึ้นสามารถพึ่งพาตนเองได้อย่างมั่นคง
        


โดยจะมีผู้ว่าราชการจังหวัด นายอำเภอ กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และข้าราชการ จะทำหน้าที่เป็น “พี่เลี้ยง” ช่วยเหลือเรื่องวิชาการ ดูแลประชาชนอย่างใกล้ชิด เพื่อให้โครงการพัฒนาต่างๆ ที่จะดำเนินการในพื้นที่มีประสิทธิภาพและประสิทธิผล สามารถแก้ไขปัญหา และพัฒนาความเป็นอยู่ของพี่น้องประชาชนได้อย่างแท้จริง เป็นตัวอย่างการพัฒนาอย่างยั่งยืน ให้กับประเทศเพื่อนบ้าน อาเซียน และประชาคมโลกอื่นๆ ด้วยนะครับ

 

ในเรื่องของการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์อย่างยั่งยืนของประเทศนั้น รัฐบาลได้กำหนดยุทธศาสตร์ปฏิรูปการศึกษาโดย มี 6 เรื่องหลักด้าน ที่ต้องการให้เร่งดำเนินการในช่วงเวลา 1 ปี 6 เดือนนะครับ ประมาณนั้น ที่ของรัฐบาลนี้นะครับ ประกอบด้วย

 

          (1) การปรับปรุงหลักสูตรและกระบวนการเรียนรู้
          (2) การผลิตและพัฒนาครู
          (3) การทดสอบการประเมินการประกันคุณภาพและการพัฒนามาตรฐานการศึกษา
          (4) การผลิตพัฒนากำลังคนและงานวิจัย ที่สอดคล้องกับความต้องการของการพัฒนาประเทศไทย
          (5) ไอซีทีเพื่อการศึกษา และ
          (6) การบริหารจัดการทั้งการปรับปรุงโครงสร้างการบริหารจัดการและการกระจายอำนาจ


         
แม้ว่าจะทำได้ไม่สมบูรณ์นักในระยะแรกนะครับ ห้วงเวลาจำกัด ไม่ถึง 100% เพราะงั้นเราก็อาจจะเริ่มต้นไว้ให้ได้ก่อนนะครับ นำร่อง ทดลองปฏิบัติไป แต่ต้องทั่วถึงนะครับ ทุกพื้นที่ทุก ทุกภูมิภาคไปก่อน เพื่อจะเป็นแนวทางเอาไว้ ทุกโครงการ เรารอไม่ได้นะครับ จะต้องขับเคลื่อนให้ได้โดยเร็ว สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติ (20 ปี) สอดคล้องกับ แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ 5 ปี 4 แผน และแผนปฏิรูปต่างๆ นะครับ แผนแต่ละแผนก็จะใช้เวลา 5 ปี เช่นเดียวกันนะครับ มีการประเมินทุก 5 ปี

 

ระบบการศึกษาจะต้องสามารถตอบสนองความต้องการของตลาดแรงงาน ตอบโจทย์การพัฒนาประเทศอย่างยั่งยืน

 

ที่ผ่านมานั้นการขับเคลื่อนนโยบาย “ลดเวลาเรียน เพิ่มเวลารู้” บนหลักการพัฒนา 4 H คือ สมอง-จิตใจ-ทักษะ-สุขภาพ (หรือ Head-Heart-Hands-Health) ที่เปิดโอกาสให้นักเรียนเลือกเข้าร่วมกิจกรรม ตามความสนใจและความถนัด แล้วก็มีครูคอยให้คำแนะนำ และมีศึกษานิเทศก์ติดตาม ดูแล ให้ความช่วยเหลืออย่างต่อเนื่องนั้น สามารถแปลงนโยบายไปสู่การจัดกิจกรรมได้เป็นอย่างดีนะครับ มีความก้าวหน้าตามลำดับ ปัจจุบันก็อยู่ระหว่างการประเมินผลการดำเนินการ สำหรับนำมาใช้เป็นข้อมูลในการปรับปรุงในภาคการศึกษาหน้าต่อไป

 

ซึ่งเป็นอีกความพยายามหนึ่งของรัฐบาลนะครับ ที่ผมเห็นว่าประสบความสำเร็จ และก็ถือว่าเป็นการปฏิรูปในส่วนการผลิตและพัฒนากำลังคนอาชีวศึกษา ให้สอดคล้องกับการพัฒนาอุตสาหกรรมของประเทศด้วยนะครับ และรองรับตลาดแรงงานของอาเซียน ด้วยการผลักดัน สร้างภาพลักษณ์ ปรับค่านิยมต่อการเรียนสายอาชีพให้ดีขึ้น เห็นได้ว่าเรามีจำนวนผู้เรียนอาชีวะในปีการศึกษา 2558 เพิ่มขึ้นมากนะครับในรอบ 10 ปี

 

ต้องขอขอบคุณภาคเอกชน ผู้ประกอบการ ที่สนับสนุนการศึกษา “ระบบทวิภาคี” นะครับ ช่วยให้เด็กได้ประสบการณ์ จากการทำงานในสถานประกอบการจริง และภาคเอกชนก็ได้คนทำงานที่มีศักยภาพตรงตามความต้องการด้วย ทั้งนี้ผมเห็นว่าศักยภาพเด็กไทยนะครับ เราไม่ได้ด้อยในเวทีโลกเลย หลายประเทศเขามีการพัฒนาตามหลัก เราไม่ได้แพ้เขาหรอกนะ

 

เพราะงั้นวันนี้สถาบันคุณวุฒิวิชาชีพได้เร่งจัดทำมาตรฐานมากกว่า 200 สาขาแล้วนะครับ ถ้าเด็กอาชีวะสามารถผ่านการรับรองมาตรฐาน แต่ละด้าน ก็จะเป็นสิ่งที่การันตีฝีมือและมาตรฐานค่าตอบแทนด้วยนะครับ แต่รัฐบาลก็ไม่ลืม ที่จะส่งเสริมและยกระดับคุณภาพในการใช้ภาษาอังกฤษนะครับ สำหรับกลุ่มต่างๆ คู่ขนานไปด้วย ทั้งนี้เพื่อให้มีโอกาสในเรืองของความก้าวหน้าในการประกอบอาชีพที่ดีขึ้นครับ

 

ทั้งนี้ การปฏิรูปการศึกษา ผมถือว่าเป็นงานค่อนข้างยากนะครับ เนื่องจากมีกฎหมายหลายฉบับ มีหลายหน่วยงาน มีการแบ่งแยกหน่วยงานจนมากเกินไป ไม่มีเอกภาพ ในการที่กำกับดูแลอำนวยการปฏิบัติให้เป็นไปในทางที่สอดคล้องกันเองนะครับ ทำได้ยาก รัฐบาลและ คสช.กำลังแก้ไขปัญหาเหล่านี้นะครับ เพื่อจะให้เกิดการปฏิรูประยะที่ 1 ที่ผมกล่าวไปแล้วนี่ ถึงปี 60 นี่ให้ได้โดยเร็วนะครับ ขอความร่วมมือจากบุคคลากรทางการศึกษาด้วยนะครับ ช่วงนี้ขอเถอะนะ ขอให้เดินหน้าให้ได้ก่อน


        
เรื่องร่างรัฐธรรมนูญนะครับ อยากให้ทุกคนนั้น คิด แล้วก็จินตนาการไปพร้อมๆ กับผมด้วยว่า สิ่งที่เราต้องการคืออะไร ประเทศไทย คนไทย ต้องการอะไร ที่ผ่านมาเป็นยังไง เกิดขึ้นมาบ้าง เราคงต้องการบ้านเมืองที่สงบสุข ชุมชนได้รับการพัฒนาอย่างยั่งยืนเข้มแข็ง เศรษฐกิจที่มีความมั่นคงตั้งแต่ฐานราก การเมืองที่มีเสถียรภาพ นักการเมืองที่มีธรรมาภิบาล ที่จะมีการบริหารประเทศอย่างมีทิศทาง ข้าราชการทำงานด้วยความสบายใจ ด้วยความสุจริต โปร่งใส ประชาชนก็จะได้รับสวัสดิการและการบริการอย่างทั่วถึง ทรัพยากรธรรมชาติถูกนำมาใช้ประโยชน์กับทุกคนโดยรวมอย่างเท่าเทียม เกิดความสมดุลนะครับ เหมือนวิสัยทัศน์ที่เราได้กล่าวไว้แล้วว่า "ประเทศมั่นคง ประชาชนมั่งคั่ง อย่างยั่งยืน"
         


หากสิ่งที่เราต้องการตรงกันแล้ว เราอาจจะผิดหวังนะครับ กับสถานการณ์ในประเทศใน ช่วง 10 กว่าปี ที่ผ่านมา เราถึงได้เรียกร้องให้มีการปฏิรูป การเข้ามาของ คสช. และรัฐบาล ถือเป็นเพียง "การห้ามเลือด" หรือ "หยุดเลือด" เท่านั้นเอง แต่ทำอย่างไรเราจะ “พลิกวิกฤติเหล่านี้ให้เป็นโอกาส” ให้ได้สำเร็จนะครับ เป็นเรื่องของพวกเราทุกคนจะต้องช่วยกัน ผมถือว่าการร่างรัฐธรรมนูญนั้น เป็นวาระแห่งชาติ แล้วทุกคนก็ทำงานอย่างแข็งขันนะครับ

 

อยากให้ประชาชนทุกคน ทุกหมู่เหล่า ให้ช่วยกันคิด ว่าเราจะทำอย่างไรให้เป็นประมิทธิผล ในเรื่องที่เราได้ทำมาแล้วเกือบ 2 ปีที่ผ่านมา ในช่วงการเปลี่ยนผ่าน ให้มีการปฏิรูปให้ได้ จะต้องมีกลไก มีเครื่องมืออย่างใดอย่างหนึ่ง ที่จะสามารถสร้างความเชื่อมั่นให้กันและกันได้ว่า เราจะสามารถประคับประคองประเทศไม่ให้ล้มครืนลงมาอีกครั้งหนึ่งนะครับ หรือย้อนไปสู่วังวนเดิมๆ เรามีทั้งนโยบายความมั่นคงแห่งชาติ / ยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี ซึ่งใช้เป็นกรอบการพัฒนาประเทศร่วมกันนะครับ ของประเทศ ของรัฐบาล ของเอกชน และประชาชน เพื่อจะขับเคลื่อนบ้านเมืองไปในทิศทางเดียวกัน ไม่ใช่ต่างคนต่างทำ แยกทั้งคน ทั้งเงิน ทังโครงการ งบประมาณก็เสียหายนะครับ ใช้กันอย่างไร้ทิศทาง

 

วันนี้ เราได้กำหนดยุทธศาสตร์ชาติซึ่งก็เป็นเพียงกรอบกว้างๆ นะครับ อยากให้ทุกคนไปศึกษารายละเอียด ว่าไม่ได้ควบคุมทุกอย่างอยู่แล้ว เป็นกรอบกว้างๆ ซึ่งทุกรัฐบาลก็ควรจะต้องทำอยู่แล้วล่ะ ไม่ต้องเขียนก็ต้องทำ ที่ผ่านมาอาจจะมีข้อบกพร่องอยู่บ้างนะครับ ก็เลยต้องเขียนขึ้นมา เพราะงั้นอยากให้ทุกคนในประเทศรู้ ว่าจะเดินไปอย่างไร อนาคตเราจะเป็นอย่างไร นี่เราต้องเตรียมตัว เตรียมความพร้อมอย่างไร ทุกภาคส่วนนะครับ เพื่อให้มีการมั่นคงนะครับ มีความมั่นทันคงกับประเทศชาติ แล้วก็มีความมั่งคั่งของประชาชนโดยรวม เราจะมีการประเมินยุทธศาสตร์ชาติ ทุก 5 ปี ซึ่งเราได้ประเมินพร้อมไปกับแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ นะครับ ที่ผมกล่าวไปแล้ว ตั้งแต่ปี 60 เป็นต้นไป ก็ 4 แผนนะครับ แผน 12 + 13 + 14 + 15 ก็แผนละ 5 ปี แล้วนะครับ

 

แล้วก็แผนปฏิรูปของ สปท. ปัจจุบัน กับ สปช.เดินนะครับ ก็ทำให้รัดกุมขึ้น โดยกำหนดไว้ทุก 5 ปี แต่ละปีก็มีรายละเอียดที่ต้องทำ บางอย่างก็จบภายในปีเดียว บางอย่างก็จบภายใน 5 ปี ทำนองนี้นะครับ ประกอบกันไปด้วยแล้วกัน รัฐบาลใหม่ ก็สามารถบริหารประเทศได้อย่างมั่นคง มีเสถียรภาพ หากว่าเราใช้ทั้งยุทธศาสตร์ชาติและนโยบายพรรคไปพร้อมกัน ผมว่าประเทศชาติมีอนาคตนะ ผมขอขอบคุณนะครับนักการเมืองที่หวังดีกับประเทศชาติ เพราะงั้นเราไม่น่าจะมาขัดแย้งกันตรงนี้นะครับ ในเมื่อทุกท่านอาสาจะเข้ามาดูแลประชาชนและประเทศชาติ ไม่ใช่เพื่อตนเอง

 

ผมขอความร่วมมือและความไว้วางใจ ให้กับรัฐบาล – คสช. – กรธ. – สนช. – สปท. ทั้งคณะที่ผ่านมา และคณะนี้ด้วยนะครับในการที่จะร่วมกันทำงาน ไม่งั้นเดินหน้าไม่ได้ เพราะงั้นก็เราจะขอปฏิบัติภารกิจที่พี่น้องได้มอบหมายให้กับเรานั้นด้วยความเชื่อมั่น ไว้เนื้อเชื่อใจมาตลอดระยะเวลาที่ผ่านมานั้นให้ดำเนินการสำเร็จลุล่วงด้วยดีครับ

 

ขอบคุณครับ สวัสดีครับ