"อีฟ ทยา" ฝากถึง "ยิ่งลักษณ์"  ลั่น!! อย่าหนีคดีเหมือนพี่ชาย ก็แล้วกัน !! (รายละเอียด)

"อีฟ ทยา" ฝากถึง "ยิ่งลักษณ์" ลั่น!! อย่าหนีคดีเหมือนพี่ชาย ก็แล้วกัน (รายละเอียด)

หากจะเอ่ยชื่อสตรีนักสู้ที่เดินเคียงบ่าเคียงไหล่พร้อมกับนายสุเทพ เทือกสุบรรณ ประธานมูลนิธิมวลมหาประชาชนเพื่อการเปลี่ยนแปลงประเทศไทยให้เป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข

หรือกลุ่ม กปปส. เมื่อครั้งที่มีการต่อต้านรัฐบาลพรรคเพื่อไทย ของน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ชนิดที่เรียกว่าถึงไหนถึงกันคงหนีไม่พ้นสตรีท่านนี้

"อีฟ ทยา" ฝากถึง "ยิ่งลักษณ์"  ลั่น!! อย่าหนีคดีเหมือนพี่ชาย ก็แล้วกัน !! (รายละเอียด)

"อีฟ ทยา" ฝากถึง "ยิ่งลักษณ์"  ลั่น!! อย่าหนีคดีเหมือนพี่ชาย ก็แล้วกัน !! (รายละเอียด)

นางทยา ทีปสุวรรณ ภรรยานายณัฏฐพล ทีปสุวรรณ อดีต ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ และแกนนำคณะกรรมการประชาชนเพื่อการเปลี่ยนแปลงประเทศไทยให้เป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข (กปปส.)

ทั้งนี้นางทยา ทีปสุวรรณ ชื่อเล่น อีฟ เป็นบุตรของนายเฉลิมพันธ์ ศรีวิกรม์ และคุณหญิงศศิมา ศรีวิกรม์ สำหรับประวัติทางด้านการศึกษารวมทั้งตำแหน่งหน้าที่ที่เคยได้รับมีรายละเอียดดังต่อไปนี้

การศึกษาและดูงาน

- ปริญญาโท MBA ที่สถาบันศศินทร์
- ปริญญาโท MIS ที่ LSE ประเทศอังกฤษ
- ปริญญาตรี เศรษฐศาสตรบัณฑิต จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
- มัธยมศึกษา โรงเรียนสาธิตปทุมวัน แผนกศิลปคำนวณ
- ประถมศึกษา โรงเรียนประถมสาธิตประสานมิตร
- อนุบาล โรงเรียนศรีวิกรม์ และโรงเรียนวัฒนาวิทยาลัย

ตำแหน่งในอดีต

22 มกราคม 2552 รองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ทางด้านการศึกษา การท่องเที่ยวและกีฬา

การทำงาน และตำแหน่งหน้าที่

- พนักงาน แผนกสินเชื่อธุรกิจขนาดใหญ่ ธนาคารไทยพาณิชย์ (2 ปี)
- ผู้ช่วยผู้จัดการ โรงเรียนศรีวิกรม์
- ผู้จัดการโรงเรียนศรีวิกรม์
- 22 มกราคม 2552 รองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ทางด้านการศึกษา การท่องเที่ยวและกีฬา

และด้วยดีกรีนักสู้เพื่อความถูกต้องที่มีอยู่อย่างเต็มตัวของนางทยา ในหลายต่อหลายครั้งพบว่าเธอนั้นได้แสดงความคิดเห็นอย่างตรงไปตรงมาผ่านทางเฟซบุ๊กหรือแฟนเพจส่วนตัวของเธอ

อย่างล่าสุดหลายฝ่ายก็จับตาและออกมาวิเคราะห์สถานการณ์ร้อนทางการเมืองที่ส่อแววว่าจะปะทุขึ้นมาอีกครั้งหรือไม่ ภายหลังจากที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองกำหนดวันชี้ชะตานางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี

ซึ่งตกเป็นจำเลยในคดีโครงการรับจำนำข้าว ที่ทำให้ประเทศชาติเสียหายเป็นมูลค่ามากถึง 5 แสนล้านบาท หลายฝ่ายก็ออกมาแสดงความคิดเห็นว่านางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร จะอยู่รอฟังคำพิพากษาคดีในวันที่ 25 สิงหาคม 2560 หรือไม่ หรืออาจจะหลบหนีเหมือนกับพี่ชายของเธอนั่นคือนายทักษิณ ชินวัตร

เช่นเดียวกับนางทยา ทีปสุวรรณ เมื่อวันที่ 25 กรกฎาคม 2560 ได้โพสต์ข้อความในแฟนเพจส่วนตัวซึ่งมีเนื้อหาดังรายละเอียดต่อไปนี้

ทักษิณ ชินวัตร หนี
วัฒนา อัศวเหม หนี
ประชา มาลีนนท์ หนี
จักรภพ เพ็ญแข หนี
จารุพงษ์ เรืองสุวรรณ หนี
ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ?!?!

"หวังว่าคุณยิ่งลักษณ์จะสร้างบรรทัดฐานทางการเมืองใหม่ให้กับพรรคเพื่อไทย โดยในวันที่ 25 ส.ค.นี้ ประชาชนคงจะได้เห็นคุณยิ่งลักษณ์ไปแถลงปิดคดีจำนำข้าวด้วยตัวเอง และไม่ว่าผลจะเป็นเช่นไร

หวังว่าคุณยิ่งลักษณ์จะน้อมรับคำตัดสินของศาลด้วยความยุติธรรม ไม่หนีคดีเหมือนพี่ชายและเพื่อนร่วมพรรคอย่างที่ผ่านมา สำหรับมวลชนที่ไปให้กำลังใจ ก็ควรเคารพกฎหมาย เพราะการตัดสินคดีในทางใดทางหนึ่ง

ย่อมต้องมีคนเห็นด้วยและไม่เห็นด้วย แต่ทุกฝ่ายต้องยอมรับและแสดงออกตามกรอบของกฎหมาย...และนี่คือจุดเริ่มต้นของการปรองดอง เพื่อให้บ้านเมืองกลับสู่ความสงบได้ในที่สุด"

"ทยา ทีปสุวรรณ"

"อีฟ ทยา" ฝากถึง "ยิ่งลักษณ์"  ลั่น!! อย่าหนีคดีเหมือนพี่ชาย ก็แล้วกัน !! (รายละเอียด)

"อีฟ ทยา" ฝากถึง "ยิ่งลักษณ์"  ลั่น!! อย่าหนีคดีเหมือนพี่ชาย ก็แล้วกัน !! (รายละเอียด)

โดยในโอกาสนี้ทางทีมข่าวเจอ(สำนักข่าวทีนิวส์) จะนำทุกท่านไปทบทวนรายละเอียดของนักการเมืองคนดังในอดีตที่หลบหนีคดีไม่ยอมเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมซึ่งมีรายละเอียดที่น่าสนใจดังต่อไปนี้

ภายหลังจากที่คณะรักษาความสงบแห่งชาติได้เข้ายึดอำนาจและเข้ามาบริหารประเทศในช่วงวันที่ 22 พฤษภาคม 2557 เป็นต้นมา นำโดยพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ทำให้หลายฝ่ายตั้งความหวังกับ คสช.และรัฐบาลที่เข้ามาบริหารประเทศ

ความหวังที่ว่านั้นคงหนีไม่พ้นการสะสางปัญหาที่เรื้อรังมาอย่างยาวนานของประเทศ ไม่ว่าจะเป็นด้านกระบวนการยุติธรรมของไทยทั้งระบบ ความเหลื่อมล้ำของคนในสังคม รวมทั้งความยุติธรรมและบรรทัดฐานทั้งนักการเมือง-ข้าราชการ-เอกชน จะต้องตระหนักถึงความถูกต้อง

โดยหากย้อนข้อมูลถึงนักการเมืองระดับประเทศและบุคคลดังมากมายที่เคยต้องคำพิพากษาจากศาลให้จำคุกแต่กลับพบว่าบุคคลเหล่านี้กลับยอมหนีหน้าไม่ยอมเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม ซึ่งหากเอ่ยชื่อเชื่อว่าหลายๆคนคงคุ้นหน้าคุ้นตากันเป็นอย่างดี รวมถึงกิตติศัพท์ของบุคคลเหล่านี้ที่ได้ฝากเอาไว้บนผืนแผ่นดินไทยและเป็นบทเรียนราคาแพง

เริ่มกันที่ 1."วัฒนา อัศวเหม"

ทุจริตที่ดินคลองด่าน เป็นอดีตรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี, รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมและกระทรวงมหาดไทย, อดีตสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดสมุทรปราการ ,อดีตหัวหน้าพรรคราษฎร ปัจจุบันอยู่ระหว่างการหลบหนีหมายจับตามคำพิพากษาจำคุกในคดีทุจริตต่อหน้าที่ราชการ

จากการที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง มีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 18 สิงหาคม พ.ศ. 2551 ในคดีที่นายวัฒนา อัศวเหม อดีต รมช.มหาดไทย และประธานพรรคเพื่อแผ่นดิน เป็นจำเลย ในกรณีสืบเนื่องจากนายวัฒนาใช้อำนาจข่มขู่ หรือชักจูงใจให้ผู้อื่นร่วมออกโฉนดที่ดิน 1,900 ไร่ ทับที่คลองสาธารณประโยชน์

และที่เทขยะมูลฝอยซึ่งเป็นที่สงวนหวงห้าม เพื่อนำไปขายให้กรมควบคุมมลพิษเพื่อก่อสร้างโครงการบ่อบำบัดน้ำเสีย ตำบลคลองด่าน อำเภอบางบ่อ จังหวัดสมุทรปราการ

ศาลพิพากษาลงโทษจำคุกจำเลย 10 ปี และให้ริบพระผงสุพรรณเลี่ยมทองของกลาง พร้อมกับออกหมายจับเพื่อติดตามตัวจำเลย มารับโทษ ต่อมานายวัฒนา ได้ยื่นขออุทธรณ์คดีดังกล่าวแต่ศาลมีคำสั่งไม่รับอุทธรณ์ของจำเลยไว้พิจารณา ปัจจุบัน นายวัฒนา อยู่ระหว่างหลบหนีโทษจำคุก 10 ปี

2."นายรักเกียรติ สุขธนะ"

คดีรับสินบนบริษัทยา เป็นรัฐมนตรีคนแรกที่ต้องโทษจำคุกในคดีทุจริตรับสินบน ตามการชี้มูลความผิดของคณะกรรมการป้องกัน และปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.)

ฐานทุจริตรับเงินสินบน 5 ล้านบาทจากบริษัทยาทำให้สาธารณสุขจังหวัดต้องจัดซื้อยาในราคาแพงกว่าปกติตั้งแต่ 50 % ถึงกว่า 300% ในพื้นที่ 34 จังหวัดทั่วประเทศ ความเสียหายโดยประมาณ 181.7 ล้านบาท

โดยเมื่อวันที่ 28 ตุลาคม พ.ศ. 2546 ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง พิพากษาว่าจำเลยสำเร็จการศึกษาชั้นปริญญาตรีทางกฎหมายแต่กลับมาทำความผิดคอร์รัปชันเช่นนี้ จึงเห็นสมควรลงโทษสถานหนัก พิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 149 ให้ลงโทษจำคุก 15 ปี

นายรักเกียรติยังเป็นจำเลยในคดีร่ำรวยผิดปกติอีกด้วย โดยวันที่ 30 กันยายน พ.ศ. 2546 ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองได้มีคำพิพากษาให้ทรัพย์สินของนายรักเกียรติจำนวน 233.88 ล้านบาท ตกเป็นของแผ่นดิน

นอกจากนี้มีโทษจำคุกตามคดีเช็ค อีก 30 เดือน รวมทั้งสิ้นเป็น 17 ปี 6 เดือน การหลบหนีและการรับโทษ นายรักเกียรติหลบหนีไม่มาฟังคำพิพากษา จนกระทั่งมีผู้พบเห็นนายรักเกียรติออกกำลังกายในสวนสาธารณะย่านปากเกร็ด จังหวัดนนทบุรี

จึงถูกตำรวจจับกุมตัวมารับโทษตามคำพิพากษาตั้งแต่วันที่ 4 พฤศจิกายน พ.ศ. 2547 ภายหลังที่เข้ารับโทษที่เรือนจำคลองเปรม นายรักเกียรติ ได้รับการลดโทษเหลือ 9 ปี 2 เดือน และ 7 ปี 6 เดือน ตามลำดับ

นายรักเกียรติได้รับโทษจำคุกนานกว่า 5 ปี เหลือโทษจำคุกจริงอีก 2 ปี 6 เดือน หรือประมาณ 1 ใน 3 จึงเป็นคุณสมบัติตามเกณฑ์การขอพักการลงโทษ คณะกรรมการพิจารณาพักการลงโทษฯ จึงอนุมัติให้พักการลงโทษและได้ส่งหนังสือแจ้งไปยังเรือนจำกลางคลองเปรม

เพื่อให้ปล่อยตัวนายรักเกียรติออกจากเรือนจำตั้งแต่เวลาประมาณ 17.00 น. วันที่ 29 ตุลาคม พ.ศ. 2552 นายรักเกียรติได้อุปสมบทเป็นพระภิกษุในพุทธศาสนา โดยได้รับฉายาว่า รกฺขิตธมฺโม ก่อนลาสิกขาบท เมื่อวันที่ 9 มกราคม 2556

3. "พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร"

คดีประมูลซื้อที่ดินรัชดา คดีทุจริตประมูลซื้อที่ดินรัชดาภิเษก เป็นคดีที่อัยการสูงสุดเป็นโจทก์ฟ้อง พ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตร เป็นจำเลยที่ 1 และคุณหญิงพจมาน ชินวัตร เป็นจำเลยที่ 2 ต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง

ในความผิดฐาน “เป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐร่วมกันเป็นคู่สัญญาหรือมีส่วนได้ส่วนเสียในสัญญาที่ทำกับหน่วยงานของรัฐ ปฏิบัติหน้าที่ในฐานะเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐซึ่งมีอำนาจกำกับ ดูแล ควบคุม ตรวจสอบหรือดำเนินคดี และเป็นเจ้าพนักงาน และสนับสนุนเจ้าพนักงาน มีหน้าที่จัดการหรือดูแลกิจการใด

เข้าไปมีส่วนได้ส่วนเสียเพื่อประโยชน์สำหรับตนเองหรือผู้อื่นฯ” ซึ่งเป็นความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ พ.ศ. 2542 และประมวลกฎหมายอาญา เมื่อวันที่ 21 มิถุนายน พ.ศ. 2550 และศาลมีคำสั่งรับฟ้องเมื่อวันที่ 10 กรกฎาคม พ.ศ. 2550

คดีนี้มีผลสืบเนื่องมาจากการที่คุณหญิงพจมานได้ทำการประมูลซื้อที่ดินริมถนนเทียมร่วมมิตร ย่านถนนรัชดาภิเษก ใกล้กับศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย เนื้อที่ประมาณ 33 ไร่ ด้วยราคา 772 ล้านบาท

จากกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน ในการกำกับดูแลของธนาคารแห่งประเทศไทย กระทรวงการคลัง โดย พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ในขณะนั้นดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ร่วมลงนามยินยอมในฐานะคู่สมรส

และเมื่อวันที่ 11 สิงหาคม พ.ศ. 2551 พ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ตัดสินใจไม่ไปรายงานตัวต่อศาล ในคดีที่ดินย่านถนนรัชดาภิเษก โดยเดินทางไปยังกรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ

ต่อมา 21 ต.ค. 2551 ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง มีคำพิพากษาให้จำคุก พ.ต.ท. ทักษิณ เป็นเวลา 2 ปี ฐานกระทำผิด พ.ร.บ. ป.ป.ช. มาตรา 100 ( 1) วรรคสาม และมาตรา 122 วรรคหนึ่ง ส่วนคุณหญิงพจมาน ยกฟ้อง

ซึ่งศาลฎีกาแผนกคดีอาญาผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ได้ออกหมายจับ พ.ต.ท.ทักษิณ โดยคดีของ พ.ต.ท.ดร.ทักษิณ จะมีอายุความ 15 ปี ถึงวันที่ 12 สิงหาคม พ.ศ. 2566 ปัจจุบัน พ.ต.ท. ทักษิณ อยู่ระหว่างหลบหนีโทษจำคุก

4."นายประชา มาลีนนท์"

คดีทุจริตจัดซื้อเรือ-รถดับเพลิง กทม. วันที่ 10 กันยายน 2556 ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองอ่านคำพิพากษาคดีที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เป็นโจทก์ฟ้องนายโภคิน พลกุล อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยจำเลยที่ 1

นายประชา มาลีนนท์ อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย จำเลยที่ 2

นายวัฒนา เมืองสุข อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ จำเลยที่ 3

พล.ต.ต.อธิลักษณ์ ตันชูเกียรติ อดีตผู้อำนวยการสำนักป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย กรุงเทพมหานคร (กทม.) จำเลยที่ 4

บริษัท สไตเออร์ เดมเลอร์ พุค สเปเชียล ฟาห์รซอยก์จากประเทศออสเตรีย จำเลยที่ 5 (ศาลสั่งจำหน่ายคดีชั่วคราว)

และนายอภิรักษ์ โกษะโยธิน อดีตผู้ว่าฯ กทม.จำเลยที่ 6

ในความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งหรือปฏิบัติหน้าที่หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริตตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา157 และการกระทำผิดตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ พ.ศ.2542

จากกรณีการจัดซื้อรถและเรือดับเพลิง พร้อมอุปกรณ์บรรเทาสาธารณภัยตามโครงการพัฒนาระบบบริหารและเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานสำนักป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย กทม.มูลค่า 6,687 ล้านบาท

ศาลฯมีคำพิพากษาว่า จำเลยที่ 2 มีความผิดฐานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ตามประมวลกฎหมายอาญา ม.157 ประกอบ ม.83 และมีความผิดตามพ.ร.บ. การเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐฯ (ฮั้วประมูล) พ.ศ. 2542 มาตรา 13 และมาตรา 12 ส่วนจำเลยที่ 4 มีความผิดฐานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ตามประมวลกฎหมายอาญา ม.157 ประกอบ ม.83

และมีความผิดตามพ.ร.บ. การเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐฯ (ฮั้วประมูล) พ.ศ. 2542 มาตรา 12 การกระทำเป็นความผิดกรรมเดียว ผิดกฎหมายหลายบท แต่ให้ลงโทษตาม พ.ร.บ.การเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐฯ

ซึ่งเป็นบทหนักสุด ให้จำคุกนายประชา จำเลยที่ 2 เป็นเวลา 12 ปี และให้จำคุก พล.ต.ต. อธิลักษณ์ จำเลยที่ 4 เป็นเวลา 10 ปี ส่วนจำเลยที่ 1 คือนายโภคิน, จำเลยที่ 3 คือ นายวัฒนา และจำเลยที่ 6 นายอภิรักษ์ ศาลมีคำพิพากษายกฟ้อง ท้ายที่สุดสำหรับนายประชา ไม่มาฟังคำพิพากษาคดี คาดว่าได้หลบหนีไปอยู่สหรัฐหรือยุโรป

5."นายสมชาย คุณปลื้ม"

คดีทุจริตซื้อที่ดินเขาไม้แก้วและคดีจ้างวานฆ่ากำนันยูร สมชาย คุณปลื้ม หรือ กำนันเป๊าะ เป็นนักการเมือง นักธุรกิจ ชาวจังหวัดชลบุรี ผู้กว้างขวางในภาคตะวันออก และเคยเป็นอดีตนายกเทศมนตรีเทศบาลเมืองแสนสุขที่มีผลงานมากมายจนทำให้ชลบุรีเป็นเมืองที่มีความสำคัญทางเศรษฐกิจ

เป็นผู้อยู่เบื้องหลังและให้การสนับสนุนนักการเมืองจากภาคตะวันออกหลายคน ถูกตัดสินจำคุก 5 ปี 4 เดือน และยึดทรัพย์ในคดีทุจริตซื้อที่ดินเขาไม้แก้ว และจำคุก 25 ปี ในคดีจ้างวานฆ่า นายประยูร สิทธิโชติ หรือ กำนันยูร แล้วหลบหนีคดี

ต่อมาเมื่อวันที่ 30 มกราคม พ.ศ. 2556 เจ้าหน้าที่กองปราบได้จับกุมนายสมชาย คุณปลื้ม บนรถยนต์ส่วนตัวทะเบียน ฎฎ 9579 กทม. ขณะเดินทางบนถนนมอเตอร์เวย์ขาออก บริเวณด่านเก็บเงินลาดกระบัง จากการตรวจสอบพบว่านายสมชาย คุณปลื้ม เดินทางเข้ามารักษาอาการป่วยที่โรงพยาบาลสมิติเวช ศรีนครินทร์ โดยใช้ชื่อปลอมเป็น "นายกิม แซ่ตั้ง"

ภายหลังถูกจับกุมนายสมชาย คุณปลื้ม ถูกควบคุมตัวไว้ที่กองปราบปราม และส่งไปขอหมายจำคุกที่ศาลอาญา โดยนายสมชายรับว่าเป็นบุคคลเดียวกับที่ต้องถูกจำคุกในคดีจ้างวานฆ่านายประยูร สิทธิโชติ (กำนันยูร)

ซึ่งศาลฎีกาพิพากษาจำคุกเขา 25 ปี ศาลอาญาจึงออกหมายจำคุกโดยนับรวมกับโทษในคดีที่ดินเขาไม้แก้วซึ่งศาลจังหวัดชลบุรีพิพากษาให้จำคุกเขา 5 ปี 4 เดือน เป็นจำคุกทั้งสิ้น 30 ปี 4 เดือน ปัจจุบันนายสมชาย ยังถูกจำคุกอยู่แต่เนื่องจากป่วยทางราชทัณฑ์ จึงให้มาควบคุมตัวอยู่ที่โรงพยาบาลจังหวัดชลบุรี

ขอบพระคุณข้อมูลจาก : http://www.bangkokbiznews.com/news/detail/659417