"นพ.วรงค์" แฉแหลก!! ซัดด้วยหลักฐานจับโกหก(วัฒนา) บิดเบือนข้อมูลปมสั่งห้ามเปิดโกดังข้าวเพื่อรมยา เป็นเหตุให้ข้าวเสื่อม??? (รายละเอียด)

"นพ.วรงค์" แฉแหลก!! ซัดด้วยหลักฐานจับโกหก(วัฒนา) บิดเบือนข้อมูลปมสั่งห้ามเปิดโกดังข้าวเพื่อรมยา เป็นเหตุให้ข้าวเสื่อม???

ภายหลังจากนายวัฒนา เมืองสุข อดีต ส.ส.บัญชีรายชื่อพรรคเพื่อไทย อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ได้ออกมาอ้างพยานของนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ให้การโดยกล่าวว่า"หลังรัฐประหาร รัฐบาล ได้สั่งห้ามเปิดโกดังข้าว เพื่อรมยาจนเป็นเหตุให้ข้าวเสื่อมสภาพ" ซึ่งประเด็นดังกล่าวนี้ทำให้นายแพทย์วรงค์ เดชกิจวิกรม อดีต ส.ส.พิษณุโลก พรรคประชาธิปัตย์ถึงขนาดต้องออกมาชี้แจงถึงกรณีดังกล่าวว่านายวัฒนาได้ตอบโต้ไปตามเหตุและผลนั่นคือถ้าห้ามเปิดโกดังข้าวเพื่อรมยา จนเป็นเหตุให้ข้าวเสื่อม ข้าวควรจะต้องเสื่อมทั้งคลัง หรือทุกกองในคลังเดียวกันไม่ใช่เสื่อมเฉพาะข้าวที่ซุกอยู่ภายในกอง แต่มีข้าวดีล้อมรอบอยู่ด้านนอก นี่คือเหตุและผลเพื่อยืนยันว่านายวัฒนาบิดเบือนข้อมูล

"นพ.วรงค์" แฉแหลก!! ซัดด้วยหลักฐานจับโกหก(วัฒนา) บิดเบือนข้อมูลปมสั่งห้ามเปิดโกดังข้าวเพื่อรมยา เป็นเหตุให้ข้าวเสื่อม??? (รายละเอียด)

นายแพทย์วรงค์ยังระบุอีกว่า"ล่าสุดมีผู้หวังดีที่ต้องการยืนยันว่านายวัฒนาโกหกได้ส่งเอกสารที่ พณ.0404/ว5042  ลงวันที่ 17 มิถุนายน 2557  เป็นเอกสารที่ยืนยันถึงเจตนาการปิดโกดัง เพื่อต้องการตรวจสอบปริมาณ และคุณภาพข้าวในคลัง

"นพ.วรงค์" แฉแหลก!! ซัดด้วยหลักฐานจับโกหก(วัฒนา) บิดเบือนข้อมูลปมสั่งห้ามเปิดโกดังข้าวเพื่อรมยา เป็นเหตุให้ข้าวเสื่อม??? (รายละเอียด)

ที่สำคัญหนังสือดังกล่าวได้ชี้ให้เห็นถึงการเปิดคลังเพื่อรมยาตามรอบระยะเวลา สามารถดำเนินการได้ตามปกติ เอกสารดังกล่าวจึงเป็นการยืนยันว่า สามารถเปิดคลังข้าวเพื่อรมยาได้ ดังนั้นการที่นายวัฒนาอ้างว่ามีคำสั่งห้ามเปิดคลังเพื่อรมยาจนเป็นเหตุให้ข้าวเสื่อม จึงเป็นการบิดเบือนข้อมูลอย่างเห็นได้ชัด"

ทั้งนี้นายแพทย์วรงค์จึงขอเรียกร้องให้นายวัฒนา และพรรคเพื่อไทยหยุดบิดเบือนข้อมูลต่างๆ ในเมื่อทุกฝ่ายได้ใช้สิทธิ์ในการพิสูจน์ความจริงผ่านศาลก็ควรเคารพและรอฟังคำตัดสินของศาลไม่ใช่มาโกหกรายวันแบบนี้ ที่สำคัญควรหยุดที่จะปลุกระดมมวลชน เพื่อมากดดันศาลได้แล้วเอาเวลาไปสู้คดีบ้านเอื้ออาทรดีกว่า  อย่างไรก็ตามหากย้อนกลับไปในวันที่ 14 มิถุนายน 2560 ที่ผ่านมา คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) มีมติชี้มูลความผิดนายวัฒนา เมืองสุข อดีต ส.ส.บัญชีรายชื่อพรรคเพื่อไทย สมัยดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กับพวก ว่ามีพฤติกรรมทุจริตในโครงการบ้านเอื้ออาทร

สำหรับคดีดังกล่าวนายวัฒนา กับพวกถูกกล่าวหาว่า เรียกรับเงินจากผู้ประกอบการเอกชนในการจัดซื้อจัดจ้างโครงการบ้านเอื้ออาทร โดยเริ่มจากการที่บริษัทพาสทิญ่าไทย ได้โควตาเป็นคู่สัญญากับการเคหะแห่งชาติ 7 โครงการ 7,500 ยูนิต มูลค่า 2,500 ล้านบาท

ทั้งที่ไม่มีคุณสมบัติในการเข้าเป็นคู่สัญญากับการเคหะแห่งชาติ แต่ได้มีการจ่ายเงินใต้โต๊ะเพื่อให้สามารถเข้าเป็นคู่สัญญากับหน่วยงานของรัฐได้ โดยเรื่องดังกล่าวเริ่มมีการตรวจสอบหลังวันที่ 19 ก.ย. 2549 โดยคณะมนตรีความมั่นคงแห่ง ชาติ ได้แต่งตั้งคณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ (คตส.) ขึ้นมาเพื่อตรวจสอบโครงการต่างๆ ในสมัยรัฐบาลนายทักษิณ ชินวัตร

ซึ่งโครงการทุจริตบ้านเอื้ออาทรเป็นหนึ่งในโครงการอื้อฉาวที่ คตส.เข้าไปตรวจสอบ โดยพบว่ามีหลายโครงการที่ผิดปกติ รวมถึงโครงการที่มีการกล่าวหานายวัฒนาและพวกด้วย ต่อมาเมื่อคตส.หมดหน้าที่ได้ส่งสำนวนทั้งหมดที่ยังค้างอยู่มาให้ป.ป.ช.พิจารณาต่อ

ซึ่งปัจจุบันคณะกรรมการ ป.ป.ช. ส่งสำนวนการไต่สวน และรายงานให้กับสำนักงานอัยการสูงสุด เพื่อดำเนินการฟ้องต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองแล้ว แต่อัยการเห็นว่าคดีดังกล่าวยังมีข้อไม่สมบูรณ์

โดยเฉพาะประเด็นข้อกฎหมาย จึงต้องตั้งคณะกรรมการร่วมพิจารณาข้อไม่สมบูรณ์ระหว่างอัยการและ ป.ป.ช. ก่อนส่งฟ้องต่อศาลต่อไป ซึ่งหากยังหาข้อยุติไม่ได้ ป.ป.ช. สามารถเรียกสำนวนกลับคืนมาส่งฟ้องเองได้

"นพ.วรงค์" แฉแหลก!! ซัดด้วยหลักฐานจับโกหก(วัฒนา) บิดเบือนข้อมูลปมสั่งห้ามเปิดโกดังข้าวเพื่อรมยา เป็นเหตุให้ข้าวเสื่อม??? (รายละเอียด)

ทั้งนี้นายวัฒนา กับพวก มีมูลความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 148 ฐานผู้ใดเป็นเจ้าพนักงานใช้อำนาจในตำแหน่งโดยมิชอบ ข่มขืนใจหรือจูงใจเพื่อให้บุคคลใดมอบให้หรือหามาให้ซึ่งทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดแก่ตนเองหรือผู้อื่น ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 5-20 ปีหรือจำคุกตลอดชีวิต และปรับตั้งแต่ 2,000 - 40,000 บาท หรือประหารชีวิตและผิดมาตรา149 ฐานเป็นเจ้าพนักงานเรียกรับ หรือยอมจะรับทรัพย์สิน หรือประโยชน์อื่นใดสำหรับตนเองหรือผู้อื่นโดยมิชอบ เพื่อกระทำการหรือไม่กระทำการอย่างใดในตำแหน่ง

ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 5-20 ปี หรือจำคุกตลอดชีวิต และปรับตั้งแต่ 100,000-400,000 บาท หรือประหารชีวิต

ไม่เพียงเท่านั้นนายแพทย์วรงค์ ยังได้กล่าวถึงกรณีคำแถลงของกรมการค้าต่างประเทศ และพรรคเพื่อไทยรวมทั้งเจ้าของคลังเก็บข้าว กรณีการระบายข้าวในคลัง โดยนายแพทย์วรงค์ได้ตั้งข้อสังเกตเอาไว้ดังนี้

1.กรมการค้าต่างประเทศแถลงชัดว่า ข้าวในคลังดังกล่าวมีข้าวเสื่อมสภาพตามเกณฑ์ที่กำหนด ที่จะจัดประเภทเป็นข้าวขายเพื่ออาหารสัตว์ หรือเพื่ออุตสาหกรรม หรือข้าวเกรดซี แต่พรรคเพื่อไทยร่วมกับเจ้าของคลัง พยายามโจมตีว่า นำข้าวดีไปขายเป็นอาหารสัตว์

ในความเป็นจริงต้องยอมรับว่า การทุจริตซุกข้าวเสื่อม ของเจ้าของคลัง ร่วมกับเซอร์เวย์และเจ้าหน้าที่รัฐสมัยรัฐบาลยิ่งลักษณ์นั้น ใช้วิธีการล้อมกองและหยอดลงหลุม ด้วยการนำข้าวดีล้อมด้านนอกและนำข้าวเสื่อมหย่อนลงตรงกลาง และปิดด้วยข้าวดีด้านบน จึงไม่แปลกที่จะมีข้าวดีปะปน

และสามารถเจาะข้าวดีมาโชว์สื่อได้ ยิ่งเป็นคลังตัวเองยิ่งรู้ว่าซุกข้าวเสื่อมไว้กองไหนบ้าง ปกติแล้วข้าวหนึ่งกอง 20000 กระสอบ สูงประมาณ 30กระสอบ ความหนาจำนวนชั้นของข้าวดี จึงขึ้นกับปริมาณข้าวเสื่อมที่ซุก การที่เจ้าของคลังเอาข้าวดีมาโชว์จึงเป็นเรื่องปกติที่พบได้

พรรคเพื่อไทยและเจ้าของคลังที่ทุจริต จึงพยายามบอกสังคมว่านำข้าวดีไปขายเป็นอาหารสัตว์ แต่ข้อเท็จจริง คือเป็นข้าวเกรดซีที่นำไปขาย ซึ่งมีข้าวดีรวมด้วย

2.พรรคเพื่อไทยพยายามนำเรื่องนี้ไปโยง ความเสียหายของโครงการรับจำนำข้าว และกล่าวหาว่าไปโยนบาปให้รัฐบาลยิ่งลักษณ์

ต้องยอมรับความจริงว่า กระแสข่าวความเสียหายของโครงการรับจำนำข้าวห้าแสนกว่าล้านบาทนั้น เกิดจากการปิดบัญชีของคณะกรรมการปิดบัญชี เริ่มมาตั้งแต่สมัยท่านสุภา ปิยะจิตติปิดบัญชีปีแรกที่เสียหายไปกว่า 220,000 ล้านบาทแล้วรัฐบาลยิ่งลักษณ์ไม่พอใจ มีการย้ายเปลี่ยนตัวเกิดขึ้น

และต่อมามีการปิดบัญชี 22 พ.ค.2557 มีความเสียหาย 5.19แสน ล้านบาท และปิดบัญชีรอบกันยายน 2557 ยอดเพิ่มเป็น 5.36 แสนล้านบาท จึงเป็นการแสดงว่า ความเสียหายที่พูดกันนั้น เกิดขึ้นมาก่อนแล้ว แต่พรรคเพื่อไทยยังพยายามบิดเบือนจับแพะชนแกะ

3.พรรคเพื่อไทยและเจ้าของคลังที่ทุจริต พยายามโจมตีว่า การตรวจสอบคุณภาพข้าว ใช้ทหารมาตรวจซึ่งไม่มีมาตรฐาน

สิ่งที่กล่าวนั้นไม่จริง เพราะการตรวจโกดังทั้งประเทศนั้นใช้ผู้ตรวจราชการทุกกระทรวง นับ 100 ชุดและมีการจัดอบรมใช้แนวปฏิบัติของสำนักงานคณะกรรมการตรวจข้าว สภาหอการค้าแห่งประเทศไทยและส่งแลปมาตรฐานเป็นแนวปฏิบัติ

ซึ่งแนวปฏิบัตินี้ได้รับการยอมรับจากนานาชาติ ไม่ใช่ใช้เซอร์เวเยอร์แดดเดียวเหมือนสมัยรัฐบาลยิ่งลักษณ์ มีทุนจดทะเบียน 2-3 ล้านบาท แต่ตรวจข้าวมูลค่าเป็นหมื่นล้านบาท จึงนำไปสู่การทุจริตร่วมกันตามคลังทั้งประเทศ

ในความเป็นจริง การตรวจสอบคลังเก็บข้าวทั้งประเทศมีมากถึง 1770 คลัง ไม่ใช่แค่ 8คลัง ถ้าคิดเป็นกองข้าวกองละ 20000 กระสอบ จะมีจำนวนมหาศาล เพราะยอดรวมข้าวเกือบ 18 ล้านตัน ที่สำคัญต้องปีนไปรื้อกองข้าวที่สูง 30 ชั้นและทำการตรวจ แม้การตรวจบางกองไม่พบข้าวเสื่อมสภาพ แต่เมื่อไปขายเป็นข้าวดี ก็ยังมีข่าวผ่านสื่อว่ามีข้าวเสื่อมซุกอยู่ภายใน

"นพ.วรงค์" แฉแหลก!! ซัดด้วยหลักฐานจับโกหก(วัฒนา) บิดเบือนข้อมูลปมสั่งห้ามเปิดโกดังข้าวเพื่อรมยา เป็นเหตุให้ข้าวเสื่อม??? (รายละเอียด)

สิ่งที่ต้องถามคลังทั้ง 8 ว่า สมัยรัฐบาลยิ่งลักษณ์มีการทุจริตหรือไม่ สภาพปัจจุบันจึงมีสภาพคลังทั้ง 8 เห็นรู้กับพรรคเพื่อไทยเพื่อบิดเบือนสังคม และให้นางสาวยิ่งลักษณ์-นายบุญทรงไปแสดงดรามาให้สังคมสับสน

ถ้ายุคนั้นไม่มีการทุจริต ปล่อยปละละเลยก็คงไม่มีข้าวเสื่อมสภาพมาสร้างปัญหาวันนี้ ดังนั้นสิ่งที่สังคมต้องติดตาม ถ้าหากกรมการค้าต่างประเทศมีการทุจริต รับผลประโยชน์ ก็ต้องถูกดำเนินคดี แต่ถ้าทุกอย่างเป็นไปตามเกณฑ์การระบายก็ควรยอมรับ

ขอบพระคุณข้อมูลจาก :  https://www.facebook.com/warong.dechgitvigrom.