ยังไม่ชัวร์ !!! จักรทิพย์ยันไม่มีรายงานข้อเท็จจริงอุ้มฆ่า "โกตี๋" บอกต้องรอผลชันสูตร

พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ยืนยันยังไม่มีรายงานข้อเท็จจริง กรณีมีกระแสข่าวการอุ้มฆ่าหรือการพบศพ นายวุฒิพงศ์ กชธรรมคุณ หรือ โกตี๋ ในพื้นที่ สปป.ลาว อีกทั้งยังไม่ทราบว่ากรณีดังกล่าวเป็นความจริงหรือไม่ หรือศพที่พบเป็นศพใคร ซึ่งการชันสูตรพลิกศพ และการพิสูจน์เอกลักษณ์บุคคลนั้นก็ให้เป็นไปตามขั้นตอน 

ส่วนกรณีดังกล่าวจะเป็นกระแสข่าวเพื่อสร้างความสับสนให้มวลชนออกมาให้กำลังใจนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ในวันตัดสินคดีรับจำนำข้าววันที่ 25 สิงหาคม 2560 นี้หรือไม่นั้น ส่วนตัวตนไม่สามารถตอบได้ และไม่ทราบว่ากระแสข่าวดังกล่าวว่ามาจากไหน พร้อมขอให้ประชาชนได้ใช้ดุลพินิจในการพิจารณาข่าวอย่างถี่ถ้วน

ผู้บัญชาการตำรวจแหางชาติ ย้ำว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจมีการติดตามและเฝ้าระวังการก่อเหตุการณ์ความวุานวายหรือสร้างสถานการณ์อยู่แล้ว พร้อมมีการเตรียมความพร้อมในการดูแลรักษาความปลอดภัยในวันดังกล่าวอย่างเข้มงวด โดยมอบหมายให้ พล.ต.อ.ศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เป็นผู้กำกับดูแลด้วยตนเอง

พล.ต.อ.จักรทิพย์ ยังกล่าวถึงกรณีการเสียชีวิตของเจ้าหน้าที่ตำรวจในระหว่างการปฏิบัติหน้าที่จับกุมผู้ต้องหาค้ายาเสพติดในพื้นที่กองบังคับการตำรวจนครบาล 3 ว่า เบื้องต้นยังไม่ได้รับรายงานในกรณีดังกล่าว แต่ยืนยันว่ายุทธวิธีต่างๆ ของตำรวจในการปฏิบัติงานนั้นก็ได้มีการฝึกกันประจำอยู่แล้ว แต่ทุกอย่างก็ขึ้นอยู่กับสถานการณ์และพื้นที่

ที่ผ่านมาได้เน้นย้ำเตือนเจ้าหน้าที่ตำรวจเกี่ยวกับความระมัดระวังในการปฏิบัติหน้าที่ โดยเฉพาะเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ทำงานเกี่ยวกับการป้องกันและปราบปราม ทั้งนี้เชื่อว่าผู้ที่ค้ายาเสพติดส่วนใหญ่จะมีอาวุธติดตัวทุกคน จึงจำเป็นต้องให้เจ้าหน้าทีตำรวจมีความระมัดระวังมากขึ้น ส่วนเจ้าหน้าที่ที่เสียชีวิตในระหว่างการปฏิบัติหน้าที่นั้นก็จะมีการเยียวยาต่างๆ ตามขั้นตอน

ด้าน  พล.ต.อ.เฉลิมเกียรติ ศรีวรขาน รอง ผบ.ตร.(ปป1) ได้ลงพื้นที่ สน.มีนบุรี เพื่อเยี่ยมข้าราชการตำรวจที่บาดเจ็บหรือเสียชีวิตจากการปฏิบัติหน้าที่ฯ ด้วย โดย ด.ต.สรรลักษณ์ สิงห์สุพรรณ อายุ 45 ปี เจ้าหน้าที่ตำรวจชุดปราบปรามยาเสพติด บก.น.3  ที่เสียชีวิตจากการปฏิบัติหน้าที่ กรณีโดดลงน้ำเพื่อติดตามจับกุมผู้ต้องหาเอเย่นต์ยาเสพติด เสียชีวิต เหตุเกิดที่คลองประเวศบุรีรัมย์ สน.จรเข้น้อย
พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ กล่าวถึงความคืบกรณีแก๊งคนร้ายที่มีข้าราชการตำรวจ ทหารร่วมทำการอุ้มรีดเงินนักธุรกิจสายการบิน ว่า ทุกอย่างจะดำเนินการไปตามพยานหลักฐาน โดยคดีดังกล่าวนั้นพบผู้ต้องหารวม 10 ราย เบื้องต้นเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ติดตามจับกุมตัวได้แล้ว 8 ราย อยู่ในระหว่างการติดตามจับกุม 2 ราย ยืนยันไม่ว่าผู้กระทำผิดจะเป็นข้าราชการทหาร ตำรวจ หรือประชาชนทั่วไปหากมีพยานหลักฐานที่พบความเขื่อมโยงก็จะมีการดำเนินคดีต่างๆ ในข้อหากักขังหน่วงเหนียว หรือกรรโชกทรัพย์ทั้งหมดโดยไม่มีการละเว้น 

ส่วนกระแสข่าวว่ากรณีดังกล่าวมีนายทหารชั้นผู้ใหญ่ระดับนายพลมีส่วนเกี่ยวข้องด้วยนั้น ส่วนตัวไม่มีความกังวลใดๆ ในการดำเนินคดี เพราะทุกอย่างเป็นไปตามกฎหมายและให้เป็นไปตามพยานหลักฐาน ซึ่งพฤติกรรมดังกล่าวถือเป็นความผิดทางอาญา พร้อมเชื่อว่าเบื้องต้นมีพยานหลักฐานที่เพียงพอที่จะเอาผิดกับนายทหารดังกล่าว โดยหากพบว่านายทหารคนดังกล่าวมีส่วนเกี่ยวข้องจริงขั้นตอนต่อไปก็จะทำการแจ้งไปยังต้นสังกัดพร้อมเอาผิดตามขั้นตอน

ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ กล่าวว่าในส่วนของการดำเนินการกับข้าราชการตำรวจที่กระทำความผิดนั้น ยืนยันว่าจะมีการดำเนินการอย่างเด็ดขาดทั้งทางวินัยและอาญา เบื้องต้นอยู่ในระหว่างสอบสวนข้อเท็จจริง ส่วนจะให้ออกจากราชการเลยหรือไม่นั้นอยู่ที่การพิจารณาของตำรวจสอบสวนกลางที่เป็นต้นสังกัดนายตำรวจคนดังกล่าว ซึ่งหลังจากนี้ไปก็จะมีการขยายผลต่อไป

พล.ต.อ.จักรทิพย์ ยังกล่าวถึงความคืบหน้าการติดตามตัวนายวรยุทธ อยู่วิทยา หรือ บอส ขับรถพุ่งชนดาบตำรวจวิเชียร กลั่นประเสริฐ เสียชีวิต ซึ่งอยู่ในระหว่างการหลบหนีในต่างประเทศ โดยฝ่ายสำนักงานอัยการต่างประเทศได้ท้วงติงมายังสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ที่ยังไม่สามารถระบุประเทศปลายทางที่หลบหนีอย่างชัดเจนได้ จึงอาจทำให้คดีหมดอายุความ 

ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ระบุว่า เบื้องต้นให้แบ่งกรณีดังกล่าวออกเป็น 2 ส่วน ส่วนแรกเกี่ยวกับการแปลเอกสารที่เจ้าหน้าที่ตำรวจได้ทำการส่งให้ฝ่ายอัยการไปแล้ว และอีกส่วนคือการชี้เบาะแสว่าผู้ต้องหาพำนักอาศัยอยู่ที่ไหนอย่างไร โดยเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ทำการแจ้งไปยังตำรวจสากลประเทศต่างๆ แล้วกว่า 190 ประเทศ แต่ยังไม่ได้รับการประสานกลับมา รวมถึงประเทศอังกฤษด้วย พร้อมยืนยันว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจได้เร่งติดตาม เพื่อที่จะทราบว่าผู้ต้องหาอาศัยอยู่ในประเทศใด ส่วนนายบอส จะมีกี่สัญชาติหรือถือพาสปอร์ตกี่เล่มนั้นตนไม่สามารถตอบได้