"ชูวิทย์"ถ่ายทอด"ไดอารี่คุก"ฝากถึง "บุญทรง & ภูมิ" จากอดีตนักโทษรุ่นพี่

เมื่อวันที่ 27 สิงหาคม 2560 ที่ผ่านมา นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ อดีตนักการเมืองจอมแฉ ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก "ชูวิทย์ I'm Back" ซึ่งมีเนื้อหาแนะนำนายบุญทรง กับนายภูมิ ถึงวิธีการใช้ชีวิตในเรือนจำ ในฐานะที่เป็นรุ่นพี่เคยต้องโทษคดีมาก่อน
หากย้อนกลับไปทบทวนประวัติของนายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ เกิดที่ฮ่องกง แต่เติบโตในย่านเยาวราช บิดาเป็นคนจีน ครอบครัวที่ทำธุรกิจนำเข้าและผลิตเสื้อผ้ายีนส์ยี่ห้อ ฮาร่า โดยปัจจุบันธุรกิจนี้ดูแลโดยเลิศชัย กมลวิศิษฎ์ ผู้เป็นพี่ชาย ชูวิทย์จบชั้นประถมศึกษาจาก โรงเรียนสหพาณิชย์ (ปัจจุบันเป็นที่ตั้งของตึกชาญอิสสระ) มัธยมศึกษาตอนต้นที่ โรงเรียนอัสสัมชัญศรีราชา และมัธยมศึกษาตอนปลายที่ โรงเรียนเทพศิรินทร์ ปริญญาตรี คณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ปริญญาโท มหาวิทยาลัยซานดิเอโก สหรัฐอเมริกา

และหลังจากเข้าสู่วงการเมือง พ.ศ. 2548 โดนศาลรัฐธรรมนูญปลดออกจากการเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) เพราะว่าสังกัดพรรคชาติไทยไม่ถึง 90 วัน จึงมาศึกษาต่อในหลักสูตร รัฐศาสตรมหาบัณฑิต สาขาการเมืองการปกครอง คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ สำเร็จการศึกษาและเข้ารับพระราชทานปริญญาบัตร รัฐศาสตรมหาบัณฑิต เมื่อวันที่ 14 สิงหาคม 2551

หลังจบการศึกษาจากสหรัฐอเมริกา ชูวิทย์หันมาทำธุรกิจของตัวเองเช่น สร้างหมู่บ้านจัดสรร และเปิดอาบอบนวดชื่อ วิคทอเรีย ซีเคร็ท และขยายกิจการจนเป็นเจ้าของอาบอบนวด 6 แห่ง ในเครือเดวิสกรุ๊ป และก่อตั้งมูลนิธิต้นตระกูลกมลวิศิษฎ์ ให้การสนับสนุนก่อสร้างป้อมยามที่พักเจ้าหน้าที่ตำรวจตามแยกไฟแดง

"ชูวิทย์"ถ่ายทอด"ไดอารี่คุก"ฝากถึง "บุญทรง & ภูมิ" จากอดีตนักโทษรุ่นพี่

ต่อมาได้เกิดความขัดแย้งกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ ออกมาเปิดเผยเรื่องส่วย เป็นเรื่องที่เกรียวกราว จนได้รับฉายาว่า เสี่ยอ่าง หรือ จอมแฉ จนเกิดผลกระทบกับธุรกิจอาบอบนวด ถูกคดีค้าประเวณีเด็กหญิง อายุต่ำกว่า 18 ปี ในสถานอาบอบนวด แต่ศาลสั่งยกฟ้อง เนื่องจากหลักฐานไม่เพียงพอ

นอกจากนั้น ชูวิทย์ เป็นกรรมการผู้จัดการ บริษัท ภาติฌาน จำกัด, บริษัท ซี.ดี แลนด์ จำกัด, เจ้าของ บริษัท สุขุมวิท ซิลเวอร์สตาร์ จำกัด, กรรมการบริษัทสุขุมวิท ซิลเวอร์สตาร์ และ ประธานบริษัท เดวิสกรุ๊ป ซิลเวอร์สตาร์ จำกัด ชูวิทย์เป็นเจ้าของโรงแรม The Davis Bangkok Hotel ที่ตั้งอยู่บนถนน สุขุมวิท 24 มีพื้นที่ขนาด 7 ไร่ ความพิเศษของพื้นที่ตรงนี้คือมีหน้ากว้าง ต่างจากที่ดินต่างรอบบริเวณ โรงแรมขนาดใหญ่แบ่งเป็น Main Wing และ Corner Wing

"ชูวิทย์"ถ่ายทอด"ไดอารี่คุก"ฝากถึง "บุญทรง & ภูมิ" จากอดีตนักโทษรุ่นพี่

อีกทั้งยังแบ่งเป็นส่วนบ้านไทย และ มีร้านอาหารและสปาในส่วนของ avenue โรงแรม The Davis Bangkok Hotel โดยเฉพาะที่ดินคาดว่าจะมีมูลค่าหลายพันล้านบาท เพราะสุขุมวิท ซอย 24 เป็นซอยที่ติดอันดับราคาที่ดินที่แพงที่สุดในเมืองไทย
ชูวิทย์ยังเป็นเจ้าของที่ดินขนาด 7 ไร่ อันเป็นที่ตั้งของ "สวนชูวิทย์" ตั้งอยู่บริเวณระหว่างถนนสุขุมวิท ซอย 8 และ ซอย 10 โดยที่ดินดังกล่าวเคยเกิดกรณีการขับไล่เป็นข่าวใหญ่เมื่อปี 2546

เป็นการรื้อทำลายร้านค้าบาร์เบียร์จำนวนกว่าร้อยร้านค้า ปัจจุบันชูวิทย์เปิดเป็นสวนให้ประชาชนทั่วไปเข้าใช้บริการ ที่ดินแปลงดังกล่าวมีมูลค่ามากกว่า 5,500 ล้านบาท และเป็นที่ดินแปลงใหญ่แปลงเดียวที่ยังหลงเหลืออยู่ในบริเวณถนนสุขุมวิทตอนต้น ชูวิทย์เป็นที่รู้จักในกลางปี พ.ศ. 2546 เมื่อปรากฏเป็นข่าวว่าได้หายตัวไปอย่างลึกลับ ขณะมีคดีรื้อบาร์เบียร์ที่ ถนนสุขุมวิท ซึ่งเป็นคดีที่มีคู่ความเป็นตำรวจนครบาล ไม่กี่วันต่อมาชูวิทย์ก็ปรากฏตัวข้างถนน ย่านชานเมืองแห่งหนึ่ง ด้วยสภาพอิดโรย มีการนำตัวส่งโรงพยาบาล เมื่อร่างกายเริ่มฟื้นแล้ว ชูวิทย์ได้แฉว่า ถูกตำรวจกลุ่มหนึ่งอุ้มตัวไป

"ชูวิทย์"ถ่ายทอด"ไดอารี่คุก"ฝากถึง "บุญทรง & ภูมิ" จากอดีตนักโทษรุ่นพี่

จากนั้นชูวิทย์ก็ปรากฏเป็นข่าวเป็นระยะ เมื่อเจ้าตัวเริ่มทำการแฉ ถึงพฤติกรรมการทุจริตต่าง ๆ ของตำรวจ เช่น การรีดไถ่ การรับส่วย เป็นต้น จึงทำให้เป็นจุดสนใจของสังคมในระยะนั้น โดยบุคลิกของชูวิทย์ขณะนั้นเป็นไปอย่าง ดุดัน ดุเดือด จริงจัง แต่หลังจากนั้นแล้วชูวิทย์เริ่มมีท่าทีที่เปลี่ยนไป กลายเป็นบุคคลที่สนุกสนานเฮฮา ผ่อยคลายมากขึ้น แต่ก็ยังไม่ทิ้งการแฉถึงเรื่องราวการทุจริตต่าง ๆ ในสังคม ทำให้เป็นที่นิยมชมชอบของผู้คนเป็นจำนวนมาก

และจากชื่อเสียงที่โด่งดังนี้ ทำให้ในปีเดียวกันนั้น ได้มีผู้สร้างภาพยนตร์แผ่นที่มีเนื้อหาดัดแปลงมาจากชีวประวัติของชูวิทย์เอง ใช้ชื่อว่า เจ้าพ่ออ่างทองคำ โดยมี จรัล งามดี มารับบทเป็น ชูวิช ที่แปลงชื่อมาจากชื่อของชูวิทย์ ไม่เพียงเท่านั้นก่อนหน้านี้มีคำพิพากษาศาลฎีกา คดี"รื้อบาร์เบียร์" ที่มีนายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ หัวหน้าพรรครักประเทศไทย ตกเป็นจำเลยร่วมกับคนอื่นๆ ที่กินระยะเวลาในการต่อสู้คดี มานานร่วม 12-13 ปี จนที่สุดศาลฎีกา มีคำพิพากษาจำคุก 2 ปี โดยไม่รอลงอาญา นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ และพวกรวม 66 คน

"ชูวิทย์"ถ่ายทอด"ไดอารี่คุก"ฝากถึง "บุญทรง & ภูมิ" จากอดีตนักโทษรุ่นพี่

ทั้งนี้ในฐานะที่เป็นรุ่นพี่เคยต้องโทษคดีมาก่อนนายชูวิทย์จึงได้โพสต์ข้อความลงในเฟซบุ๊กดังรายละเอียดต่อไปนี้ "เมื่อศาลอ่านคำพิพากษาจบ ผู้ที่ถูกศาลตัดสินจำคุกอย่างคุณบุญทรงและพวก ที่ถูกลงโทษหนักขนาด 30-40 ปี ย่อมมีอาการหูอื้อ ตาลาย ความดันพุ่ง หลังจากเข้าไปเรือนจำ การปรับตัวไม่ได้ทำกันง่ายๆ อย่างที่ข่าว ผบ.เรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ บอกว่า "นายบุญทรงและนายภูมิ" ปรับตัวได้ดี เพราะ ผบ.ไม่ได้มาเจอนักโทษ ใครที่ไหนจะปรับตัวได้เร็วปานนั้น เพราะวันก่อนยังมีอิสรภาพ วันนี้แปรสภาพกลายเป็นนักโทษเสียแล้ว หากโทษเกิน 15 ปี กรมราชทัณฑ์มีระเบียบให้ไปอยู่เรือนจำคลองเปรม ถ้าต่ำกว่า 15 ปี อยู่ที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ แต่ก็ดีไปอย่าง เพราะที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ แดนแรกรับมีพื้นที่แค่ 2 ไร่ครึ่ง ช่วงไหนตำรวจฟิตจัด จับ เขมร พม่า แรงงานต่างด้าวเข้ามา อัดไปแน่นถึงเกือบพันคน คิดดูแล้วกัน บ้านเศรษฐีพื้นที่ 2-3 ไร่ อยู่กันแค่ 5-10 คน แต่นี่อยู่ร่วมพันคนมันจะแน่นขนาดไหน ไดอารี่คุกที่เป็นตารางเวลาซ้ำซากเหมือนกันทุกวัน ฝากเอาไว้ในฐานะนักโทษรุ่นพี่ก็แล้วกัน

"ชูวิทย์"ถ่ายทอด"ไดอารี่คุก"ฝากถึง "บุญทรง & ภูมิ" จากอดีตนักโทษรุ่นพี่
05.30น. ตื่นนอน
05.45 น. เก็บที่นอน จัดเรียงที่นอนให้เป็นระเบียบ วางป้ายชื่อบนที่นอน (ไม่รู้จะมีระเบียบโง่ๆแบบนี้ทำไม?)
06.00 น. เช็ดทำความสะอาดพื้นห้อง (ไม่มีกระเบื้อง ถูจนสีพื้นถลอก)
06.15 น. นับยอด ครั้งที่ 1 เพื่อเตรียมตัวเปิดขัง (ต้องเช็คทุกเช้า กลัวหนีตอนกลางคืน)
06.30 น. เปิดประตูห้องขัง
06.35น. ทำธุระส่วนตัว เข้าบล็อค (หน้าสลอน ทักทายกันได้ เห็นกันตลอดแม้กระทั่งตอนอึ ไม่มีความลับในคุก)
06.45 น. วิ่งออกกำลังกายรอบสนาม (สนามเท่าสนามบาส วิ่งจนงง เหงื่อยังไม่ออกเลย)
07.15 น. อาบน้ำ (อาบกลางแจ้ง มีเพื่อนแก้ผ้าอาบน้ำเป็นร้อย)
07.30 น. กินอาหารเช้า (เมนู โจ๊ก น้ำเต้าหู้ แม่งมีอยู่ 2 อย่าง อันนี้สั่งแบบเสียเงิน แบบที่ไม่เสียเงินเรียกอาหารหลวง เป็นแกงไม่มีสัญชาติ มีแต่วิญญาณ ตอนกระเดือกลงต้องกลั้นหายใจ)
07.45 น. เตรียมตัวเข้าแถว ตรวจนับยอดครั้งที่ 2 (มันจะเช็คทำไมบ่อยๆ เพิ่งเช็คไปเมื่อกี๊นี้เอง หางานให้ผู้คุมทำ ไม่งั้นทั้งวันก็ส่องแต่พระ)
08.00 น. เคารพธงชาติ สวดมนต์ (สวดมาก สวดนาน ให้แม้กระทั่งเปรตมีความสุข แต่พวกกูมีทุกข์)
08.20 น. เข้ากองงาน เช็คยอดประจำกองงาน (ครั้งที่ 3) (นี่ตื่นมายังไม่ถึง 3 ชั่วโมงเลย นับยอดไป 3 รอบแล้ว คิดดูละกันว่าบ้าหรือเปล่า)
08.30 น. เริ่มทำงาน (ห้องสมุด) (จะมีอะไรทำในห้องสมุด ยกเว้น อ่านหนังสือ ค้นไปเจอหนังสือ “อ่างอาบน้ำทองคำ”)
10.30 น. พักกินข้าวเที่ยง (แม่งกินเที่ยงเร็วมาก เดี่ยวดูแล้วกันว่ากินเย็นกี่โมง)

"ชูวิทย์"ถ่ายทอด"ไดอารี่คุก"ฝากถึง "บุญทรง & ภูมิ" จากอดีตนักโทษรุ่นพี่


12.30 น. ออกเยี่ยมญาติ (เป็นช่วงเวลาที่มีความสุข แม้ไม่ได้สัมผัสอิสรภาพ แต่อย่างน้อยก็ยังได้เห็นคนมีอิสรภาพผ่านช่องลูกกรง ดูเมียเราสวยขึ้นโว้ยย)
13.00 น. เช็คยอด ครั้งที่ 4 (เอาอีกละ ในคุกไม่เคยหยุดเช็คยอด จะกลัวหนีอะไรหนักหนา แต่จริงๆรอบนี้เป็นรอบมั่ว บางคนก็ไปเยี่ยมญาติ บางคนก็ไปทำงานนอกแดน)
13.05 น. เข้ากองงาน (ห้องสมุด) (กลับมานั่งทรมานเพ้อเจ้อ แต่ก็ยังดีกว่ากองงานอื่น แม่งนรกของแท้ หากทำไม่ได้ตามยอดโดนตบ)
14.00 น. กินข้าวเย็น (เห็นไหม? ว่ากินข้าวเย็นตอนบ่าย 2 คิดดูแล้วกันจะยัดลงไปที่ไหน แต่ก็ต้องกินเพราะถ้าไม่กินเข้าขัง 15 ชั่วโมง มันให้เอาน้ำขึ้นไปขวดเดียว น่าจะจับไอ้คนออกกฏมาขังดูบ้าง มันจะได้รู้รสชาติว่าหิวเป็นยังไง)
14.30 น. อาบน้ำ (รีบไปแก้ผ้าอาบน้ำกลางแดด แทบตาลายเพราะแต่ละคนสักลายพร้อยจนเวียนหัวมากๆ)
15.00 น. เข้าแถวขึ้นเรือนนอน (ต้องตรวจค้นทีละคนว่าเอาข้าว เอาบุหรี่ ขึ้นไปบนเรือนนอนหรือเปล่า อนุญาตให้น้ำขวดเดียว มันบ้าเข้าขั้น เพราะหากพบบุหรี่ก็จะให้กินบุหรี่ บางคนเลยซ่อนที่ง่ามตูด ส่วนอาหารไม่ได้ขึ้นอดแดก เพราะกลัวจะไปทำเลอะเทอะบนเรือนนอน)
15.30 น. เช็คยอด ครั้งที่ 5 ปิดห้องขัง (เริ่มปูที่นอน แต่ขอโทษ ร้อนสัสๆ เพราะอบแดดอากาศไม่ระบาย คนก็เยอะ นอนยัดเข้าไปห้องละ 40-50 คน จนไม่มีทางเดิน หากเผลอไปเหยียบที่นอนมีเรื่องกระทืบอีก แล้วมึงจะให้กูเดินไปบล็อคยังไงวะ?)
18.00 น. สวดมนต์ (ทำอย่างกับจำวัดสวดเช้าสวดเย็น ชุดใหญ่เกือบครึ่งชั่วโมง แต่พอเดินชนกันนิดเดียวแม่งแทบจะฆ่ากันตาย)
18.30 น. ดูทีวี อ่านหนังสือ นอน (ใครอยากดูทีวี อ่านหนังสือ นอนให้คนนวด แอบพกของขึ้นมากิน ดูหนังสือโป๊ เป็นช่วงตามอัธยาศัย ทีวีเปลี่ยนช่องไม่ได้ เพราะคุมมาจากส่วนกลาง แต่หากมีถ่ายทอดฟุตบอลคู่ดังสามารถขอได้ อัตราต่อรองเหมือนข้างนอก แต่จ่ายเป็นบุหรี่)
21.30 น. ปิดทีวี (ช่วงเวลานี้เป็นเวลาของความทุกข์ทรมาน จะลุกจะเดินก็ไม่ได้บ่อย เพราะนอนเรียงกันเป็นตับระเกะระกะ บางคนสวดมนต์ บางคนนั่งสมาธิ บางคนนอนข่มตาให้หลับคิดเพ้อเจ้อ และบางคนไปเล่นว่าว)
หมายเหตุ ในคุกเวลานอนไม่เคย “ปิดไฟ”
(เพื่อป้องกันเหตุร้ายที่อาจเกิดขึ้น ในเรือนนอนจึงเปิดไฟนีออนไว้ตลอด นักโทษแต่ละคนต้องหาผ้าปิดตา เพราะต้องนอนภายใต้ความสว่างจ้า)
ไม่ใช่แค่คุณบุญทรงและพวกเท่านั้นที่จะต้อง "ปรับตัวปรับใจ" แต่บรรดาญาติๆก็ต้องปรับตัวปรับใจด้วย ว่าวันนี้ทุกสิ่งทุกอย่างมันไม่เหมือนเดิมอีกแล้ว"

"ชูวิทย์"ถ่ายทอด"ไดอารี่คุก"ฝากถึง "บุญทรง & ภูมิ" จากอดีตนักโทษรุ่นพี่

"ชูวิทย์"ถ่ายทอด"ไดอารี่คุก"ฝากถึง "บุญทรง & ภูมิ" จากอดีตนักโทษรุ่นพี่
ขอขอบพระคุณแหล่งที่มาของข้อมูลบางส่วนจาก : ชูวิทย์ I'm Back