"สนธิญาณ"แนะ"บิ๊กป้อม"คิดดีๆตอบปมพ.ต.อ.พายิ่งลักษณ์หนีไม่ผิด!! กระทบภาพลักษณ์รัฐบาล-คสช.ทรุดลงทุกวัน!!

เป็นเรืองที่ขัดแยงกับความรู้สึกเป็นอย่างมาก ภายหลังจากการควบคุมตัว 3 นายตำรวจ ผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องการกับพา น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี  หลบหนีออกมานอกประเทศ ก่อนฟังคำพิพากษาศาลฏีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองในคดีทุจริตโครงการรับจำนำข้าวด้วย โดยการทั้ง 3นาย รับสารภาพอย่างรายละเอียดถึงขั้นตอนปฏิบัติ ได้อย่างเป็นฉากๆ แต่ปรากฏว่า  ต่อมาเมื่อวัน 22 ก.ย.60 พลตำรวจเอกศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เปิดเผยหลังการสอบสวนนายตำรวจทั้ง 3 นาย ได้ออกมายืนยันด้วยตัวเองว่า นายตำรวจทั้ง 3 นายมีส่วนเชื่อมโยงกับรถคันดังกล่าวและมีส่วนเกี่ยวข้องกับการพานางสาวยิ่งลักษณ์หลบหนี  แต่ก็ได้ปล่อยตัวนายตำรวจ 3 นายไปแล้ว โดยให้เหตุผลว่าไม่พบว่ามีความผิดทางอาญา เพราะพาหลบหนีก่อนที่จะมีหมายจับจึงไม่มีอำนาจควบคุม ส่วนจะผิดวินัยหรือไม่ ได้สั่งการให้ผู้บังคับบัญชาเป็นผู้ตรวจสอบ
ล่าสุด วันที่ 25 ก.ย. ด้าน พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม  ได้ออกมาให้สัมภาษณ์ ตอบคำถามสื่อมวลชนถึงประเด็นดังกล่าวเช่นกัน
โดยประเด็นที่1  ที่ระบุว่าคนที่พาหนีอาจไม่ผิดกฎหมาย ซึ่งพล.อ.ประวิตรคิดว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจพิจารณาแล้วว่าไม่ได้เกี่ยวข้องกับความผิดทางกฎหมาย จึงออกหมายจับไม่ได้ แต่มีความผิดเรื่องการใช้รถที่ผิดกฎหมาย ขณะที่กรณีการเรียกร้องให้คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ตั้งคณะกรรมการขึ้นมาตรวจสอบเรื่องนี้โดยเฉพาะ ตนขอยืนยันว่าเรื่องนี้ไม่เกี่ยวข้องกับคสช. เป็นเรื่องของเจ้าหน้าที่ตำรวจ เมื่อถึงเวลาเขาก็ทำงานอย่างเต็มที่ ขอให้รอสักพักก่อน เพื่อตรวจสอบรายละเอียดว่าผิดกฎหมายข้อใดบ้าง

ประเด็นที่ 2  คนที่พาหลบหนีไม่ผิด คนสั่งการให้ช่วยไม่ผิดด้วยหรือไม่ พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า ถ้าเขายังรับราชการอยู่ ต้องดูว่ามีความผิดหรือไม่ แต่ทางหน่วยต้นสังกัดตั้งคณะกรรมการมาสอบสวนทางวินัย ขอให้ใจเย็น สื่อถามทุกวันก็ยังไม่มีอะไรคืบหน้า

ประเด็นที่ 3เมื่อถามว่า ตามกฎหมายไม่ผิด แต่พิจารณาถึงเจตนามีความผิดหรือไม่ พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจก็คิดเหมือนสื่อ ว่ามีเจตนา มีแผนการณ์และมีหารวางแผนไว้หรือไม่

และ 4 เมื่อถามต่อว่า ก่อนหน้านี้ ศาลมีคำสั่งห้ามน.ส.ยิ่งลักษณ์เดินทางออกนอกประเทศ แต่ยังมีการไปส่งบริเวณชายแดน พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า ไปส่งตรงนั้น ตนยังไม่รู้ว่าเขาไปส่งเพื่ออะไร เพราะน.ส.ยิ่งลักษณ์ ไม่ได้ออกนอกประเทศบริเวณด่านชายแดน อย่างไรก็ตาม เรากำลังหารถที่คาดว่าจะมีส่วนเกี่ยวข้องอีกคัน ส่วนช่องทางบ่อนนั้นเป็นช่องทางเดินเท้า ทหารดูแลทุกวัน แต่อาจมีช่องโหว่บ้าง เพราะมีเขตแดนติดต่อกันหลายกิโลเมตร

"สนธิญาณ"แนะ"บิ๊กป้อม"คิดดีๆตอบปมพ.ต.อ.พายิ่งลักษณ์หนีไม่ผิด!! กระทบภาพลักษณ์รัฐบาล-คสช.ทรุดลงทุกวัน!!

 

จากนั้นทางคุณสนธิญาณ ชื่นฤทัยในธรรม ประธานบริหาร และบรรณาธิการอำนวยการ สำนักข่าวทีนิวส์ ก็ได้ออกมาแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับอระเด็นดังกล่าว 

เรียนไปถึงท่านพล.อ.ประวิตร .. ไม่จำเป็นตอนท่านเป็นทหาร ท่านก็พูดด้วยความจริงใจ แต่วันนี้ท่านเป็นรองนายกรัฐมนตรี แม้จะมาจากการยึดอำนาจ แต่ก็เข้าข่ายว่าทำงานทางการเมืองเรื่องไหน ไม่ชัดเจนอย่างพูด สำหรับกรณีดังกล่าวการที่พล.อ.ประวิตรตอบแบบนี้ จะยิ่งทำให้รัฐาลและคสช.เสียหาย เนื่องจากประชาชนทั่วไปตั้งข้อสงสัยอยู่แล้วว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์ ถูกตำรวจ ทหาร ติดตามเป็นจำนวนมาก ตามจนถึงขนาดที่น.ส.ยิ่งลักษณ์ออกมาโวยวาย ให้หยุดติดตาม แต่ถึงเวลากลับหนีไปง่ายๆ ประชาชนก็สงสัยอยู่แล้วปล่อยให้หนีหรือไม่ แต่เมื่อนักข่าวมาถามว่าคนที่พาหลบหนีผิดหรือไม่ แล้วพล.อ.ประวิตรตอบว่า ไม่ผิด ดังนั้นเรียนว่าอย่าเพิ่งรีบตอบ ให้ดูข้อกฏหมายให้ชัดเจนเสียก่อนเสียก่อน

ทำไมถึงต้องดูข้อกฏหมายให้ชัดเจนเสียก่อน??
เนื่องจากว่ามันมี ข้อกฏหมายอยู่หนึ่งข้อ ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 189 ผู้ใด ช่วยผู้อื่น ซึ่งเป็นผู้กระทำความผิด หรือเป็นผู้ต้องหาว่ากระทำความผิด อันมิใช่ความผิดลหุโทษ เพื่อไม่ให้ต้องโทษ โดยให้พำนักแก่ผู้นั้น โดยซ่อนเร้น หรือโดยช่วยผู้นั้นด้วยประการใด เพื่อไม่ให้ถูกจับกุม ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสองปี หรือปรับไม่เกินสี่พันบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ดังนั้นเพียงแต่กฏหมายอาญาเท่านั้น ซึ่งก็ได้มีความเห็นของนักกฎหมายจากพรรคประชาธิปัตย์คนหนึ่งคือนายวิรัตน์ กัลยาศิริ อดีต ส.ส.ประชาธิปัตย์ และเป็นหัวหน้าคณะกฎหมายของพรรคฯ มาแรง แต่ไม่ได้หมายความว่าพูดอะไรไม่ดีไม่งาม โดยนายวิรัตน์ได้ยกเอาฏีกามาเป็นตัวอย่าง ความหมายของคำว่า “ฏีกา” คือในวิธีการพิจารณาความอาญา ระบบของประเทศไทย จะยึดตามแนวคำพิพากษาฏีกาเป็นแนวทางสูงสุด ว่าถ้าเคยมีคำพิพากษาฏีกา ออกมาแนวอย่างไร ถือว่าศาลอันเป็นกลไกสูงสุดได้ตัดสินคดีไปแล้วคดีอื่นๆกฌเดินไปตามแนวนั้น ซึ่งนายวิรัตน์ก็กล่าวว่า มีคำพิพากษา ที่ 4922/2539 ซึ่งเป็นคดีที่ตำรวจสั่งรถบรรทุกไม้ให้หยุด แต่ตำรวจอีกคนพาหนี ศาลฎีกาตัดสินว่ามีความผิดตามกฎหมายอาญามาตรา 189

 

 

ในขณะที่ของน.ส.ยิ่งลักษณ์ ไม่ใช่ที่เป็นคดีลหุโทษ เพราะฉะนั้นเมื่อศาลฎีกาตั้งบรรทัดฐานเอาไว้แบบนี้ จะบอกว่าสิ่งที่เกิดขึ้นไม่ผิดก็ใช่ที ดังนั้นเราต้องมาดูพฤติกรรม ว่าการพาน.ส.ยิ่งลักษณ์นี้ ของพ.ต.อ.ชัยฤทธิ์ เป็นไปตามเจตนาหรือไม่? หากพ.ต.อ.ชัยฤทธิ์ไม่รู้เรื่องราว มีคนมาฝากผู้โดยสารคนหนึ่ง ให้นั่งรถไป และพอดีว่าตนเองจะไปธุระที่แถบชายแดน ซึ่งผู้โดยสารคนนี่ก็นั่งใส่หมวกใส่หน้ากาก ปกปิดในหน้า พ.ต.อ.ชัยฤทธิ์ไม่รู้เรื่องเลย ปรากฏว่าผู้หญิงคนนี้ก็ขอลงกลางทาง โดบแบบนี้อาจจะไม่ผิดได้ เพราะไม่มีเจตนา แต่ถ้ามาดูพฤติกรรมที่พ.ต.อ.ชัยฤทธิ์ให้ปากคำกับทีมสอบสวน บอกชัดเจนในเย็นวันที่23 ส.ค.2560 เวลาประมาณ 18.20 น.ได้ขับรถยนต์เก๋งสายตรวจยี่ห้อโตโยต้า รุ่นอัลตริส สีบรอนเทา หมายเลขโล่ 0980 ไปจอดรับ น.ส.ยิ่งลักษณ์ บริเวณลานจอดรถหน้าห้างโลตัส สาขาวัชรพล นี่ข้อที่หนึ่ง เอารถตราโร่ รถราชการไปรับน.ส.ยิ่งลักษณ์ ซึ่งตอนนั้นอาจจะไม่รู้น.ส.ยิ่งลักษณ์ อาจจะขอเป็นธุระให้พาไปทำผมแต่ในข้อเท็จจริงจะเป็นอยางนั้นหรือไม่ ก็ต้องดูต่อว่าหลักจากนั้นประมาณ5นาทีต่อมา ได้มีรถยนต์เก๋งยี่ห้อเบนซ์ สีดำ ไม่ทราบหมายเลขทะเบียน โดยทราบว่าภายในรถยนต์เก๋งยี่ห้อเบนซ์ดังกล่าวมีน.ส.ยิ่งลักษณ์ นั่งอยู่ด้วย จากนั้นรถยนต์เก๋งยี่ห้อเบนซ์ได้ขับออกไปมุ่งหน้าไปทางหมู่บ้านชัยพฤกษ์ วัชรพล จึงได้ขับรถยนต์ตามไป แสดงว่ามีการนัดหมายกันก่อน ถ้าไม่นัดแล้วจะขับรถตามกันไปได้อย่างไร

 

 

จนถึงหมู่บ้านชัยพฤกษ์ วัชรพล รถยนต์เก๋งยี่ห้อเบนซ์เข้าไปทางป้อมยามของหมู่บ้าน เข้าไปในซอย 23 ส่วน พ.ต.อ.ชัยฤทธิ์ จอดรถรออยู่ที่ปากซอย 23 ไม่เข้าตามไปด้วย การไม่ตามเข้าไปด้วยแปลรอจังหวะ ว่ามีการสะกดรอยตามจากหน่วยงานความมั่นคงหรือไม่อย่างไร? ต่อมาอีกประมาณ 2 นาที ได้มีรถยนต์เก๋งยี่ห้อโตโยต้ารุ่นเเคมรี่ สีบรอนเทา มีซันรูบ ติดเเผ่นป้ายทะเบียน ฌย 2123 กรุงเทพมหานคร ขับมาและขับนำรถยนต์คันที่ พ.ต.อ.ชัยฤทธิ์ ไป โดยเเคมรี่คันดังกล่าวนั้น มีน.ส.ยิ่งลักษณ์ นั่งมามี น.ส.ยิ่งลักษณ์นั่งมาด้วย ซึ่งทางพ.ต.อ.ชับฤทธิ์ รับรู้มาโดยตลอด และยิ่งรับรู้เข้าไปใหญ่ซึ่งปรากฏว่าที่สุดแล้วรถเก๋งโตโยต้ารุ่นเเคมรี่ ก็ได้ขับเข้าไปยังบ้านพักของ พ.ต.อ.ชัยฤทธิ์ ย้ำว่าเข้าไปถึงบ้าน จอดรถยนต์ไว้ จากนั้น พ.ต.อ.ชัยฤทธิ์ ได้ไปขับรถยนต์เก๋งโตโยต้า รุ่นเเคมรี่ ซึ่งในรถเก๋งคันดังกล่าวมี น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร และเลขา ที่เป็นผู้หญิงอีก 1 คน นั่งอยู่ (โดยทั้งสองคนได้ใช้หน้ากากอนามัย(แมส)สีดำปิดปากและจมูกไว้ และสวมหมวกเเก๊ปสีเข้มไว้ทั้งสองคน) มุ่งหน้าออกจากหมู่บ้านชัยพฤกษ์ วัชรพล เลี้ยวซ้ายไปที่ถนนรามอินทรา จ.ฉะเชิงเทรา ไปทาง อ.พนมสารคาม จนต.เขาหินซ้อน ได้เลี้ยวขวามุ่งหน้าจ.สระเเก้ว มุ่งไปยัง อ.อรัญประเทศ ซึ่งเป็นเวลาประมาณ 22.00 น. หลังจากนั้น น.ส.ยิ่งลักษณ์ก็ลงจากรถ เพราะมีรถมารับตามที่นัดหมาย เป็นรถยนต์กระบะสี่ประตู สีทึบ โดยไม่ได้สังเกตยี่ห้อ และหมายเลขทะเบียน จอดรออยู่และมีชายลักษณะสูงประมาณ 180 ซม. ซึ่งมองเห็นหน้าไม่ชัดว่าเป็นชายไทยหรือไม่ โดยรถยนต์กระบะคันดังกล่าวได้เปิดไฟกระพริบจากนั้นชายคนดังกล่าวได้เดินมารับ น.ส.ยิ่งลักษณ์ และเลขาหญิง ไปขึ้นรถกระบะคันดังกล่าวแล้วขับออกไป

 

 

จากพฤติกรรมทั้งหมด คือตำรวจจะบอกกันเองว่าไม่ผิด ก็ว่ากันไป แต่ถ้าระดับรองนายกรัฐมนตรี หรือกรณีแบบนี้ คนใกล้ชิดหรือคนใกล้ตัวพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ไม่ว่าจะเรื่องนี้ หรือเรื่องพระ เงินทอนวัด มันต้องระมัดระวัง อย่านึกว่าคนรักพล.อ.ประยุทธ์ และแต่ละคนทำอะไรได้ตามอำเภอใจ ซึ่งเป็นไม่ได้ เนื่องจากปรามาสประชาชนเรื่องไหร่อยู่ไม่ได้ พล.อ.ประยุทธ์ ในวันนี้ที่แข็งแรงได้แบบนี้เพราะประชาชนเชียร์ ไม่ใช่เพราะมีกองทัพ หรือกระบอกปืน ไม่มีเผด็จการที่ไหนจะแข็งเกร่งกว่าประชาชน แต่เรื่องนี้มันเป็นสัจจะ ในเมื่อประชาชนสงสัยอยู่แล้วเปิดทางให้หนีหรือไม่ พอมาถาม บอกว่าได้รับรายงายตำรวจ ซึ่งพล.อ.ประวิตรต้องระวัง ที่ทำให้ภาพลักษณ์ทรุดลงทุกวัน ก็คือตำรวจจะเป็นตำรวจใกล้ตัว หรืออะไรก็ตามแต่

 
 

พล.อ.ประวิตรเป็นชายทหารชาติทหาร เป็นลูกผู้ชายตัวจริง เป็นคนจิตใจนักเลงรับใช้ชาติถวายชีวิต เสียอย่างเดียวคบตำรวจ แต่จะไม่คบไม่ได้เพราะน้องเป็นตำรวจ แต่ไปทบทวนดู ว่าทุกเรื่องที่เข้ามาหา มาจากตำรวจทั้งสิ้น พล.อ.ประวิตร เป็น รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายมั่นคง คุมตำรวจอีกวนๆเวียนๆอยู่ มันก็เป็นแบบนี้