"สนธิญาณ" ชี้! นักการเมืองอย่าเล่นกระแสโหนปฏิรูปของประชาชน เพราะตอนมีอำนาจไม่เคยคิดจะทำ ถึงตอนนี้ทำได้ก็ไม่ทำดีแต่สร้างโวหารตีสำนวน

ติดตามข้อมูลข่าวสารเพิ่มเติมได้ที่ http://www.tnews.co.th

รายการ "สถาพรถามตรง สนธิญาณฟันธงตอบ" ประจำวันที่ 7 มิถุนายน 2559  ออกอากาศทางช่อง ทีนิวส์ ดำเนินรายการโดย คุณสถาพร เกื้อสกุล (ถา) ได้สัมภาษณ์คุณสนธิญาณ ชื่นฤทัยในธรรม (ต้อย)  กรรมการผู้อำนวยการ บริษัททีนิวส์ทีวี โดยมีเนื้อหาดังต่อไปนี้

 

สถาพร : ช่วงเวลานี้เป็นช่วงที่จะไปพูดคุยกับพี่ต้อย สนธิญาณ ชื่นฤทัยในธรรม วันนี้เราจะไปดูเรื่องของการจัดตั้งสมัจฉาประชาชนปฎิรูปประเทศไทย ที่ดำเนินการโดยมหาวิทยาลัยรังสิต สถาบันปฎิรูปประเทศไทยนี้ ซึ่งมีการประชุมกันไปเมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา ซึ่งพี่ต้อยได้ไปร่วมในการประชุมครั้งนี้ด้วย และได้เสนอความคิดเห็นเรื่องของการปฎิรูปนี้ด้วย

สนธิญาณ : สวัสดีท่านผู้ฟัง ท่านผู้ชมแฟนข่าวทีนิวส์ทุกท่าน ผมต้องเรียนแบบนี้นะครับจากประเด็นที่คุณสถาพรและชนุตรา ที่เปิดเกริ่นหัวให้ท่านผู้ชมได้ฟังไปเมื่อสักครู่ ต้องเรียนเพิ่มเติมดังนี้ว่า นักการเมืองอย่ามาโหดเรื่องการปฎิรูป โดยเฉพาะ วัชระ ซึ่งผมก็เห็นด้วยนะ ว่า สปท. จัดตั้งมาตั้งนานแล้วแต่ผลงานยังไม่เป็นเรื่องเป็นราวเป็นรูปเป็นร่างสักที แต่อย่าลืมอย่าหนึ่งนะว่า ประชาธิปัตย์เนี่ยบริหารประเทศมาเท่าไหร่ล่ะ สมัยรัฐบาลคุณอภิสิทธิ์เคยคิดเรื่องปฎิรูปไหม ก้มีคำตอบแล้วต้องแก้ปัญหาคนเสื้อแดง ถ้าพูดแทน พล.อ.ประยุทธ์ แล้วเค้าไม่ต้องแก้ปัญหาเสื้อแดงหรอ

สถาพร :  คือถามง่ายๆ ทำไมต้องคุรมีอำนาจคุณไม่ทำ ตอนนจะมาโหนทำไม

สนธิญาณ :  ใช่ คือไม่ใช่แค่โหน ทั้งโหน ทั้งตำหนิติติ่ง คือไม่ใช่เพื่ออะไร เพื่อให้ตัวเองได้มีบทบาท เพื่อให้ได้พูดว่าทำไมพรรคประชาธิปัตย์ไม่จัดเอง พูดกันตั้งนานแล้วจากเครือข่ายในพรรคประชาธิปัตย์ที่ผมรู้มาเนี่ย ผมไม่อยากเอ่ยชื่อ ว่าทำไมไม่จัดเค้าห้ามประชุมเรื่องการเมือง แต่เค้าไม่ได้ห้ามประชุมเรื่องวิชาการ ไม่เห็นต้องจัดในนามพรรคประชาธิปัตย์ คุณมีมูลนิธิก็จัดงานเชิญนักวิชาการมาพูดว่าจะทำอะไรแบบนี้ ไม่ได้มีปัญหาที่จะผิดกฎหมายอะไรเลย เค้าไม่ให้พรรคการเมืองมีสื่อใช่ไหม ก็เลี่ยงได้ ทำไมเรื่องแบบนี้ทำไม่ได้ และพรรคการเมืองสำคัญกว่านั้น เป็นองค์กรที่จะนำพาไปถึง รัฏฐาธิปัตย์  องค์กรที่จะนำพาไปสู่การบริหารประเทศต่อไปและประเทศนี้เค้าก็เห็นอยู่มี 2 พรรคการเมืองใหญ่ ที่โอกาสบริหารประเทศได้  คือ พรรคเพื่อไทยและพรรคประชาธิปัตย์ ถามว่าตัวเองทำอะไรช่วยตอบหน่อย คือรำคาญเรียนอย่างนี้ตรงไปตรงมาเลย คือเป็นหน้าที่ที่ตัวเองต้องทำด้วยซ้ำ ทำเสร็จแล้วจะบอกได้ด้วยว่า ถ้าผมมีอำนาจขึ้นมา ผมจะเอาเหล่านี้ไปปฎิบัติไปบริหารประเทศ ไปทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลง ตามที่นักวิชาการ ประชาชน ทุกภาคส่วนมาระดมความคิดกัน แต่ทำไมไม่ทำ ถึงบอกว่ามันน่ารำคาญ เถียงกับนักการเมืองภาษาชาวบ้าน โอ๊ย พูดก็เท่านั้น สุดท้ายต้องกลับจุดเดิมที่ผมเรียนว่าเสียงที่ขาดหายไปยังมาไม่ถึง ผมจะเรียนแบบนี้ว่า เราจะก้าวข้ามทักษิณไปสักทีได้ไหม ถ้าจะก้าวไปข้างหน้ามันต้องก้าวข้ามทักษิณ ผมบอกส่วนหนึ่งก็ถูกแต่ถูกไม่ถึงครึ่ง ประเทศนี้ยังก้าวข้ามทักษิณไม่ได้ แต่ผมจะเอาคำของ ดร.อาทิตย์ ที่เปิดประเด็นในการพูดคุยวันนั้นให้ฟัง ซึ่งอันนี้เป็นหัวใจสำคัญว่าอย่าไปคิดเรื่องออกกฎหมายปรองดอง จะสร้างรูปแบบปรองดองแบบนี้ ซึ่งไม่ตรงกับความจริง ไม่สอดคล้องกับข้อเท็จจริง บอกเลยทำยากทำไม่ได้ จะบอกว่าบอกอย่างไม่มีความหวังเลย แต่ความหวังมันอยู่ตรงนี้ไงครับ ปฎิรูปประเทศในทางยุทธศาสตร์ นำพาประเทศไปด้วยความหวังของประชาชนว่าจะดีขึ้นตามยุทธศาสตร์แบบนี้แล้วมีคนปฎิบัติในแต่ช่วงเวลาดังกล่าวนี้ 3 ปี 5 ปี 10 ปี ก็ว่ากันไปข้างหน้า ในทุกคนมีความรู้สึกร่วมกันแล้วมันจะเดินไปข้างหน้าเองมันค่อยๆละวางสิ่งปัญหาที่ถูกปลุกเร้า ด้วยดวาทะกรรมการปลุกระดมมันเป็นแบบนั้นครับ นั้นคือข้อเท็จจริงที่จะเกิดขึ้น แต่ว่าไม่มีอะไม่ว่าพรรคการเมืองจะมาก็จะเดินไปตามกรอบ

สนธิญาณ :  อย่างนี้ผมขอเรียนว่าหลักการถูกต้องเราต้องเดินไปข้างหน้าอย่างที่เราพุดกัน แต่ทำไมผมต้องมาพูดถึงเรื่องทักษิณที่เราจะก้าวข้ามไม่ได้ เพราพมันเป็นแบบนี้ครับ ทักษิณเป็นเพียงผลผลิตหนึ่งของกระบวนการสังคมที่้เปลี่ยนแปลง ผมเรียนอย่างนี้ครับว่า การเปลี่ยนแปลงทางการเมืองเกิดขึ้นด้วยทหารที่เป็นสามัญชนนับว่าเป็นอมาตย์ที่มาจากสามัญชน ซึ่งอำนาจก่อนหน้านี้เป็นเครือข่าวเจ้า เราพูดภาษาง่ายๆ แต่ไม่ได้หมายความว่า อำนาจอยู่ที่พระมหากษัตริย์เพียงพระองค์เดียว แต่ในระบบศักดินา เครือข่ายอมาตย์ตามที่คนเสื้อแดงว่า คือเครือข่ายที่บริหารประเทศอยู่ ซึ่งส่วนใหญ่พวกอมาตย์มาจากพระบรมวงศานุวงศ์ มีมาจากสายสามัญชน ตระกูลธรรมดาบ้าง บางยุคบางสมัย แต่บางยุคบางสมัยก็อาจจะขึ้นสู่อำนาจแบบเต็มกำลัง เช่น สมัยรัชกาลที่ 4 รัชกาลที่5  อำนาจทางการเมือง อยู่ในอำมาตย์ที่เป็นสามัญชนในตระกูลบุณนาค อย่างนี้เป็นต้น ดังนั้นพอเกิดการเปลี่ยนเแปลง 2475 เนี่ย ย้ายอำนาจจากพระบรมวงศานุวงศ์ พระมหากษัตริย์และอำมาตย์มาสู่อำมาตย์ใหม่ที่เกิดก่อตัวขึ้น ที่เป็นทั้งทหาร ผู้นำทางด้านข้าราชการพลเรือนแล้วอำนาจ นั้นก็ตกอยู่ในมือของทหารยาวนานไปจนถึงปี 2524 ที่บอกว่ามีการเลือกตั้งเป็นระยะไม่จริงหรอกครับ 2475 อำนาจอยู่ในมือพระยาพหล 2476 มาอำนาจอยู่ในมือ จอมพล ป. จนถึงสงครามโลก จอมพล ป. หายไปนิดหนึ่ง อาจารย์ปรีดีขึ้นมามีอำนาจปีหนึ่ง 2490 จอมพล ป. ยึดอำนาจอีก เกิดการเลือกตั้งพรรคประชาธิปัตย์เข้ามามีส่วนในอำนาจนิดหนึ่ง แล้วจอมพล ป. ก็ครองอำนาจถึง 2490 จัดให้มีการเลือกตั้งก็ได้นิดนึง จอมพลสฤษดิ์ ก็รัฐประหารอีก อยู่ยาวมาจนถึงการเลือกตั้งปี 2512 ก็ได้นิดหนึ่งจอมพลถนอมก็รัฐประหารตัวเองมาจนถึงปี 2516 เลือกตั้งมานิดหนึ่ง ปี 2517  ทหารก็ยึดอำนาจอีกในปี 2519 พรรคการเมืองก็ก่อขึ้นจากเครือข่ายของกลุ่มอำนาจเดิมและทุนท้องถิ่นแบบบรรหารแบบอะไรต่างๆ ก็เข้าไปมีอำนาจแบบคุณเสนาะอะไรแบบนี้ เห็นมั้ยการเลปี่ยนแปลงสังคมมันเกิดขึ้นแบบนี้คือ เมื่อถึงปี 2524 เมื่อพลเอกเปรม มาเป็นนายกรัฐมนตรีอยู่ยาวนาน พรรคการเมืองทั้งหลายอยู่ในอำนาจพลเอกเปรม 8 ปีเต็มๆ สร้างเครือข่ายฐานอำนาจประเทศเปลี่ยนไประดับหนึ่ง อำนาจอยู่ในมือพรรคการเมือง เมื่อถึงปี 2531 เราเปิดเสรีทางการเงิน ปรากฎว่าทุนต่างชาติเข้ามา พวกทุนสามานย์เข้ามา ประเทศไทยเปลี่ยนแปลงอีกครั้งหนึ่ง เกิดทุนใหม่ขึ้นมาแบบทักษิณ ชิณวัตร อะไรต่างๆเนี่ยนะครับ ถึงปี 2540 ที่ผมย้ำเนี่ย ทุนเก่าซึ่งเป็นทุนที่เกิดขึ้นในปี 2490 ซึ่งเป็นทุนตระกูลคนจีน ในตระกูลโสภณพาณิชย์ ตระกูลหวั่งหลี ตระกูลต่างๆ ที่คุมอำนาจทางเศรษฐกิจอยู่เนี่ย เลี่ยงหมดเลย ถูกทุนข้ามชาติเข้ามาครอบงำบวกกับทุนใหม่แบบทักษิณ ทักษิณคิดยังไงหล่ะครับ มีอำนาจทางเมืองแล้ว ก็เลยเดินเข้าสู่การเมืองแค่นั้นหล่ะครับ เพราะฉะนั้นทักษิณเป็นผลผลิตของสังคมที่เกิดขึ้น นักการเมืองทุกคนถูกรัฐประหารเดินออกไปเลี่ยงหมด ทักษิณทำไมไม่เลี่ยง เพราะยังมีเงินอยู่ เพราะมีสหรัฐหนุนหลัง เพราะมีมหาอำนาจเข้าไปเชื่อมโยง มีการล๊อบบี้ยิสต์ วิ่งเข้าสู่กลุ่มทุนต่างๆ ที่ซัพพอร์ตหนุนหลังกันอยู่ ความจริงมันเป็นแบบนี้ เพราะฉะนั้นอยู่ๆบอกว่า คนนี้เข้าข้างทักาณไม่ได้หรอก คือถ้าทักษิณมีอันเป็นไป ผมไม่ได้แช่งนะครับ เรื่องราวทั้งหลายก็จะจบ เพราะฉะนั้นเนี่ยนะครับ เมื่อเราจะพูดถึงเรื่องการปฏิรูปนะครับ ที่ผมต้องทวนเรื่องยาวให้ฟังเนี่ย มันต้องคิดใหม่ คิดใหม่ในวันนี้ต้องเรียนว่า การก่อกำเนิดขึ้นของสมัชชาของ ดร.อาทิตย์เนี่ยนะครับ ก็เป็นความหวังส่วนหนึ่ง สาระทั้งหลายเนี่ยนะครับ อันความจำเป็นจริงๆเนี่ยนะครับ ทั้งหมดนี้ ดร. อาทิตย์ ได้พูด หลายคนก็ได้พูดว่า เรื่องนี้ต้องนำพาไปสู่การเชื่อมโยงมาสู่ผู้มีอำนาจในปัจจุบันคือ คสช. เพราะถ้าไม่อย่างนั้น ที่พูดไปเนี่ยนะครับ เลือกตั้งขึ้นมาก็ไม่ได้พรรคประชาธิปัตย์กับพรรคเพื่อไทย เค้าจะเอาสิ่งที่สมัชชาประชาชนที่ ดร. อาทิตย์ทำมาใช้ ก็ไม่ได้ใช้ มันก็กลายเป็นฝันกลางวันขึ้นไปอีก เว้นแต่ว่า ที่ต้องจับตาดู ซึ่งนั่นมีการพูดคุยกันในที่สัมมนาวันนั้น เว้นแต่ว่า สามารถที่จะสร้างให้กลายเป็นกระแสจนคนทั้งประเทศหนุน ความหมายที่ผมพูดนะครับว่า คนที่ออกมาประท้วง ต่อต้านระบบทักษิณเป็นล้านๆ ออกมาหนุน กระแสการปฏิรูปนี้ ซึ่งมันจะกลายเป็นกระแสหลักของสังคม จนพรรคการเมืองไม่กล้าที่จะบิดพริ้วไปทางอื่น เพราะเวลาเข้ามามีอำนาจ เงื่อนไขนักการเมืองตัดสินใจอยู่ที่จะมีผลประโยชน์เพื่อใช้เป็นทุนในการเลือกตั้งครั้งหน้าหรือไม่ นี่ต่างหากซึ่งเป็นประเด็นที่เป้นตัวขัดขวางการพัฒนาของประเทศ การปฏิรูปของประเทศ เพราะฉะนั้นเนี่ยนะครับ เอาเบื้องต้นให้เห็นภาพคร่าวๆแบบนี้ เพื่อจะมาตอกย้ำแค่นั้นแหละครับ เพราะนักการเมืองจะออกมาโหนมันน่ารำคาญ การออกมาทำ สิ่งที่คุณควรจะทำก็คือ การออกมานำเสนอว่าตนเองคิดจะทำอะไร ซึ่งไม่ได้เกี่ยวกับการเคลื่อนไหวทางการเมืองเลย ไม่ได้ห้าม อย่าอ้าง คุณชอบอ้างว่า คสช. อ้าง เวลาคุณจะปลด หม่อมราชวงศ์ สุขุมพันธ์ ออกจากพรรคหรือจะขับออกจากพรรคคุณก็หาวิธีการทำได้ ในวิธีการสร้างสรรค์แบบนี้ทำไมไม่หาบ้าง  พรรคประชาธิปัตย์โดยตรงครับ

สถาพร : ชัดเจนนะครับผม ไม่ต้องสรุปย้ำอะไรมากมายนักกับคำพูดของพี่ต้อย นั่นก็คือ พรรคการเมืองอย่าโหนกระแส ตอนมีอำนาจทำไมไม่ทำนะครับ ตอนนี้ประชาชนเค้าจะเดินหน้าในการที่จะร่วมกันปฏิรูปประเทศนะครับ