"สนธิญาณ" ตอกย้ำ! คนไทยต้องสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ "ในหลวง" ที่ทรงเป็นมากยิ่งกว่าพระมหากษัตริย์ เพราะแม้ทรงจำใจขึ้นครองราชย์ แต่ 70 ปีที่ผ่านมาก็ทรงรักษาสัญญาที่ให้ว่า "จะไม่ละทิ้งประชาชน"

ติดตามข่าวสารเพิ่มเติมได้ที่ http://www.tnews.co.th

รายการ "สถาพรถามตรง สนธิญาณฟันธงตอบ" ประจำวันที่ 10 มิถุนายน 2559  ออกอากาศทางช่อง ทีนิวส์ ดำเนินรายการโดย คุณสถาพร เกื้อสกุล (ถา) ได้สัมภาษณ์คุณสนธิญาณ ชื่นฤทัยในธรรม (ต้อย)  กรรมการผู้อำนวยการ บริษัททีนิวส์ทีวี โดยมีเนื้อหาดังต่อไปนี้

สถาพร : เมื่อวานนี้ 9 มิ.ย. 59 เรียกว่าเป็นวันดี เนื่องในโอกาสมหามงคลเสด็จเถลิงถวัลยราชสมบัติครบ 70 ปี ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว

 

สนธิญาณ : ก็เป็นความตั้งใจที่จะถวายพระพรพระองค์ท่านตั้งแต่เมื่อวานที่ผ่านมา ซึ่งเป็นวันครบรอบ 70 ปี แต่เนื่องจากว่าเมื่อวาน อยากจะเรียนถึงท่านผู้ชมอย่างนี้ครับ ในแง่ความเป็นจริงก็ต้องเรียนว่าคนไทยเราทุกคนสำนึกและตื้นตันในพระมหากรุณาธิคุณที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้มีต่อคนไทยทุกคนอยู่แล้ว แต่สิ่งที่ผมอยากจะไล่เรียงให้เห็นว่าภายใต้พระมหากษัตริย์พระองค์หนึ่ง ที่ได้ทรงงานหนักเพื่อคนไทยมีประเด็นที่เราจะต้องทำความเข้าใจมากกว่านั้นอีก และเราจะยิ่งรู้สึกสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณต่อพระองค์ท่านมากยิ่งขึ้น เราจะมี 2 วัน เวลาระลึกถึงการครองราชย์ของพระองค์วันแรก คือในวันที่ 9 มิถุนายน ซึ่งเป็นวันขึ้นครองราชย์ กับวันที่ 5 พฤษภาคม วันฉัตรมงคล ซึ่งเป็นวันที่ทำพิธีราชาภิเษก มี 2 วันก็เพราะว่า เราจะต้องรู้และเข้าใจว่าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชมหาราช ถ้าเลือกได้พระองค์ท่านไม่ขอเป็นพระมหากษัตริย์แน่นอน ถ้าเลือกได้พระองค์ไม่อยากจะเป็นพระเจ้าแผ่นดินของประเทศไทยอย่างแน่นอน นี่พวกเราจะต้องตระหนักและเข้าใจก่อน

 

สถาพร : เพราะอะไรครับพี่ต้อย

 
 
สนธิญาณ : เพราะว่าพระองค์ท่านเป็นพระเจ้าน้องยาเธอของพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดลรัชกาลที่ 8 การขึ้นเป็นพระมหากษัตริย์ของพระองค์ท่าน เพราะต้องสูญเสียพระเชษฐาไป อย่างมิอาจหวนคืนกลับได้ด้วยคนใจโฉดที่รอบปลงพระชนม์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 8 เห็นไหมครับไม่ต้องเราท่านหรอกครับ ผมถามเหมือนถาม ให้พี่ชายเป็นอะไรไปเพื่อจะได้ทรัพย์สมบัติของพ่อแม่ เพื่อจะได้ยกมรดกให้เราเอา

 
 
สถาพร : ไม่เอาอยู่แล้วครับ ผมก็เชื่อว่าไม่มีใครเอาอยู่แล้วครับ

 
 
สนธิญาณ : ชัดเจนครับ ไม่มีใครเลือกทางเช่นนี้ เพราะฉะนั้นพระองค์ท่านขึ้นเป็นพระมหากษัตริย์เป็นพระเจ้าแผ่นดินด้วยความไม่เต็มใจ และอยู่ในภาวะโศกเศร้าทุกข์ระทมใจอย่างที่สุด เพราะว่าพี่น้องซึ่งมีกันอยู่ 3 คน ซึ่งมีพี่ชาย-น้องชาย 2 คน รักกันผูกพันกันจนเกินกว่าใครจะเข้าใจ เพราะว่าทั้ง 3 พระองค์คือ สมเด็จพระพี่นาง พระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล และในหลวงรัชกาลปัจจุบัน เป็นลูกกำพร้าพ่อ ขาดพ่อตั้งแต่พระองค์ท่านมีพระชนมายุเพียง 2 พรรษา เท่านั้น สมเด็จพระราชบิดาสิ้นพระชนม์ นึกออกไหมครับ ลูกกำพร้า 3 คน ที่มีแม่เลี้ยงดูมาเพียงคนเดียวคือสมเด็จย่า และไม่ใช่เป็นลูกกำพร้าปกติอีก เนื่องจากว่าอยู่ในลำดับสืบสันตติวงศ์ต่อจากรัชกาลที่ 7 จึงถูกการเมืองคุกคามจนต้องหนีไปอยู่ต่างประเทศ เพราะถ้าเรารับทราบข่าวสารกันมาว่าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 8 พระพี่นาง และสมเด็จย่า ไปประทับอยู่ที่โลซาน ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ซึ่งผมได้ตื้นตันใจมากที่ได้ไปดูบ้านพระตำหนักซึ่งเป็นอพาร์ตเมนต์ธรรมดา ผมไปเห็นด้วยตาตัวเองมาแล้ว และสำคัญไปกว่านั้นตอนพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 7 สละราชสมบัติ ในแง่ลำดับการสืบสันตติวงศ์จะต้องเป็นพระราชบิดร กรมหลวงสงขลา แต่เนื่องจากว่าพระองค์ท่านสิ้นพระชนม์แล้ว ลำดับการสืบสันตติวงศ์จึงตกอยู่ที่รัชกาลที่ 8 ซึ่งยังเป็นเด็กด้วยนะครับตอนนั้น ไม่ถึง 10 ขวบเลยครับ สมเด็จย่าก็ไม่อยากให้ลูกเป็นพระมหากษัตริย์ แต่รัฐสภาเลือก รัฐบาลในขณะนั้นเลือก เขาบอกว่าอยู่ในลำดับสืบสันตติวงศ์รัชกาลที่ 8 จึงขึ้นครองราชย์ ถ้ามีถ้อยคำที่บอกว่า ท่านเป็นกษัตริย์และเป็นยุวกษัตริย์ท่านบอกว่าไม่อยากเป็นหรอก เพราะกลัวพระยาพหลพลพยุหเสนาดุ ซึ่งเป็นรัฐมนตรีในสมัยนั้น สมเด็จย่าได้ทำจดหมายตอบโต้กับพระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า ซึ่งเป็นย่าของสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 8 สมเด็จย่าพระราชมารดา หลักฐานปรากฏชัดไม่อยากให้ สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 8 เป็นพระมหากษัตริย์ แล้วเป็นอย่างไรครับ เมื่อสมเด็จย่าให้ลูกของท่านมาเป็นพระมหากษัตริย์จำยอมสิ่งที่สมเด็จย่ากังวลใจมาโดยตลอดก็เกิดขึ้นจริง นั่นก็คือลูกชายคนโตถูกลอบปลงพระชนม์จนเสียชีวิต ถ้าไม่ใช่เรื่องการเมืองแล้วจะเป็นเพราะสาเหตุอะไร ดังนั้น การขึ้นครองราชย์ของสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เพราะแผ่นดินว่างเว้นกษัตริย์ไม่ได้ รัชกาล 8 สิ้นพระชนม์วันที่ 9 สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 ก็ขึ้นครองราชย์วันที่ 9 คิดดูสิครับจิตใจเราท่านทั้งหลาย ลองเอานี่มาย้อนนึกถึงจิตใจของเรา และในเวลานั้นสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 มีอายุเพียง 19 พรรษา ยังไม่ครบ 20 ปีบริบูรณ์ ยังไม่บรรลุนิติภาวะตามกฎหมาย จึงทำให้ทำพระราชพิธีพระบรมราชาภิเษกไม่ได้ต้องเลื่อนมา หลังจากที่ขึ้นครองราชย์เพียง 2 เดือน ก็เสด็จกลับไปเรียนต่อที่สวิตเซอร์แลนด์ ก็มีถ้อยคำอันหนึ่งที่เราจะต้องจารึกและตราตรึงอยู่ในจิตใจของเราทุกคน ตอนนั้นพระองค์ท่านก็เป็นเหมือนเด็กหนุ่มอายุ 19 ปี แต่เราดูความรู้สึกของคนที่เข้ามาแบกภาระเพื่อแผ่นดิน เพื่อคนไทยทั้ง 70 ล้านคน อายุ 19 ปี กลับไปเรียนต่อที่สวิตเซอร์แลนด์ ผู้คนมารอส่งเฝ้ารับเสด็จอย่างล้นหลาม นี่เป็นบันทึกของพระองค์ท่านเอง ซึ่งบันทึกว่าระหว่างรถวิ่งผู้คนก็เข้ามาห้อมล้อมใกล้รถพระองค์ท่านกลัวล้อรถจะไปเหยียบเท้าของประชาชนและเมื่อไปถึงวัดเบญจฯ รถกำลังจะเร็วแล้วเพราะต้องไปขึ้นเรือในสมัยนั้น มีประชาชนตะโกนว่า "ในหลวงอย่าละทิ้งประชาชน" ผมพูดเรื่องนี้น้ำตาผมจะไหลทุกครั้ง พระองค์ท่านก็เขียนในบันทึกว่า รถไปเร็วและคล้าย ๆ ตอบไม่ทันแล้วแต่ในใจที่รู้สึกตอบขึ้นมาว่า "ถ้าประชาชนไม่ละทิ้งข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจะละทิ้งประชาชนได้อย่างไร" จริง ๆ ครับพูดทุกครั้งน้ำตาก็จะไหลทุกครั้ง แล้วเราลองย้อนทบทวนกลับมาดูสิครับ

 
 
สถาพร : คือพี่ต้อยพูดไปตอนนี้น้ำตาผมก็ไหลนะครับ

 
 
สนธิญาณ : แล้วลองคิดดูครับจากเด็กหนุ่มอายุ 19 ปี จนมาถึงวันนี้ 70 ปี ตอนนี้พระองค์ท่านพระชนมายุ 89 ปี ซึ่ง 70 ปีที่ทำงานให้กับคนไทยไปทุกหนทุกแห่งในแผ่นดินนี้ เช้า มืด ค่ำ ดึกดื่นบุกป่าฝ่าเขาลงห้วย ลงน้ำทุกแห่งหนไปหมดครับ พระองค์ท่านไม่ลืมสัญญาที่พระองค์ท่านได้คิดไว้ในใจว่า "ถ้าประชาชนไม่ละทิ้งข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจะละทิ้งประชาชนได้อย่างไร" ท่านไม่เคยละทิ้งพวกเรา อยากจะส่งเสียง อยากจะสื่อสาร อยากจะเอาเรื่องเหล่านี้ไปถึงคนจำนวนหนึ่งที่ถูกข่าวสารข้อมูลครอบงำจนสายตามืดบอด จนใจมืดบอดไม่เห็นความจริง มาเที่ยวกล่าวว่าร้ายพระองค์ท่าน นึกถึงในสถานะธรรมดาสิครับ นึกถึงปู่ย่าตายายเราคนแก่คนหนึ่งที่อายุ 89 ปี ทำงานให้กับพวกเรามาตั้งแต่อายุ 19 ปี คุณไม่กลัวบาปกรรมไม่กลัวเวรหรือ ซึ่งคุณจะต้องเจอแน่ ไม่มีทางจะหลีกเลี่ยงได้ พวกเราทุกคนผมก็อยากจะให้พวกเราน้อมรำลึกเนื่องในโอกาสที่พระองค์ท่านครองราชย์มาครบ 70 ปี ไหว้พระสวดมนต์ทุกวันก็ขอให้ตั้งจิตอธิษฐานขอให้พระองค์ท่านมีพระชนมายุยิ่งยืนนาน ให้หายจากอาการพระประชวรโดยเร็ว ซึ่งเป็นสิ่งที่ผมได้กระทำอยู่อย่างสม่ำเสมอ และอยากจะเชิญชวนพวกเรา คนไทยทุกคน แฟนข่าวทีนิวส์ทุกคน ให้ได้ร่วมกันกระทำเพื่อถวายพระพรต่อพระองค์ท่าน