กรณีธรรมกาย :โรคระบาดร้ายที่ต้องรีบระงับ

ติดตามข่าวสารได้ที่ www.tnews.co.th

โดย วสิษฐ เดชกุญชร

 

ในรายการ “คืนความสุขให้คนในชาติ” เมื่อคืนวันศุกร์ที่ 1 กรกฎาคม ที่ผ่านมา พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีได้ปรารภถึงบางกรณีที่ ผู้ละเมิดกฎหมายไม่ยอมมอบตัวต่อเจ้าหน้าที่ และมีผู้ช่วยขัดขวางเป็น จำนวนมาก ว่าอาจจำเป็นต้องใช้อำนาจพิเศษตามมาตรา 44 ของรัฐธรรม นูญ เพื่อให้ได้ตัวผู้กระทำผิดกฎหมายมาดำเนินคดี


 แม้นายกรัฐมนตรีจะมิได้ระบุตัวผู้กระทำผิดออกมาโดยตรง แต่ผู้ฟังก็ เดาได้ว่านายกรัฐมนตรีหมายถึงนายไชยบูลย์ สุทธิผล หรืออดีตพระธัมม ชโย แห่งวัดพระธรรมกาย


 ผมเห็นด้วยว่านายกรัฐมนตรีควรทำและทำโดยไม่ชักช้า เพราะขณะนี้ เป็นที่เห็นได้ชัดว่าสาวกวัดพระธรรมกายได้ฉวยโอกาสรุกคืบไปเรื่อยๆ นอก จากการโฆษณาโดยสื่อที่วัดพระธรรมกายเป็นเจ้าของ ซึ่งมีทั้งสถานีวิทยุ โทรทัศน์และสถานีวิทยุกระจายเสียงแล้ว ยังมีการยกพวกไปรังควานพระ พุทธอิสสระจนถึงวัดอ้อน้อยที่อำเภอกำแพงแสน จังหวัดนครปฐม ในขณะ เดียวกันก็ยังมีการระดมพระจากต่างจังหวัดทั้งในภาคเหนือ ภาคอีสาน และ ภาคใต้ให้เข้ามาแสดงการสนับสนุนนายไชยบูลย์จนถึงวัดพระธรรมกาย เป็นที่สันนิษฐานว่าหากเจ้าหน้าที่พยายามเข้าไปจับกุมตัวนายไชยบูลย์ในวัดพระธรรมกาย พระเหล่านี้ก็คงเป็นกำลังเสริมขัดขวางเจ้าหน้าที่ด้วย

เมื่อไม่กี่วันมานี้ มีผู้ส่งภาพสาขาวัดพระธรรมกายที่เมืองนิวคาสเซิล ประเทศอังกฤษมาให้ผมดู ที่จริงผมทราบอยู่แล้วว่าวัดพระธรรมกายขยาย สาขาไปยังต่างประเทศหลายประเทศมานานแล้ว แต่เพิ่งจะได้เห็นภาพสาขา ในเมืองนิวคาสเซิล เมื่อได้เห็นแล้วก็ต้องเชื่อว่าวัดพระธรรมกายคงจะได้ลง ทุนเป็นเงินจำนวนมหาศาลในการสร้างเครือข่ายของตน ภาพศูนย์สมาธิ (หรือกรรมฐาน) ธรรมกายในเมืองนิวคาสเซิลนั้น พอเห็นแล้วจึงได้รู้ว่า วัดพระธรรมกายได้ซื้อโบสถ์ฝรั่งเก่าขนาดใหญ่ทั้งโบสถ์มาดัดแปลงเป็นวัด ภายในมีทั้งที่พักและห้องประชุมโอ่โถงอลังการ


 หากจะพิจารณารวมไปถึงสาขาของวัดพระธรรมกายในประเทศอื่นๆ เช่น ญี่ปุ่น สหรัฐอเมริกา และยุโรปด้วยแล้วก็น่าวิตก เพราะยิ่งมีสาขาวัด พระธรรมกายมากเท่าใด ก็แสดงว่าการเผยแพร่คำสอนที่บิดเบือนพระพุทธ ศาสนายิ่งกว้างขวางมากออกไปเท่านั้น และไม่แต่คนไทยเท่านั้น แต่ชาวต่าง ประเทศที่หลงเชื่อคำสอนของวัดพระธรรมกายก็จะต้องมีจำนวนมากมาย เช่นเดียวกัน


 ขณะที่กำลังดำเนินการเพื่อเอาตัวนายไชยบูลย์มาดำเนินคดีฐานยัก ยอกทรัพย์นั้น สิ่งที่รัฐบาลควรจะต้องพิจารณาและทำไปพร้อมๆกันก็คือ ทำให้คนไทยและชาวต่างประเทศที่หลงเชื่อคำสอนของวัดพระธรรมกาย เข้าใจให้ถูกต้องว่า คำสอนของวัดพระธรรมกายนั้นมิได้เป็นไปตามพระไตร ปิฎก เป็นคำสอนนอกพระพุทธศาสนา “อายตนนิพพาน” ที่วัดพระธรรม กายสอนนั้นไม่มีในพระไตรปิฎก พระพุทธเจ้าไม่เคยสอนว่านิพพานเป็น อัตตา และการใช้เงินซื้อสวรรค์มิใช่คำสอนของพระพุทธองค์

งานนี้เป็นงานใหญ่และจำเป็นต้องระดมหลายองค์กรทั้งในภาครัฐ และภาคเอกชนร่วมกันทำพร้อมๆกัน น่าเสียดายที่สำนักพระพุทธศาสนา แห่งชาติซึ่งควรจะทำหน้าที่นี้ดูเหมือนจะกลายเป็นเครื่องมือของวัดพระ ธรรมกายไปเสียแล้ว รัฐบาลจึงอาจจำเป็นต้องใช้หน่วยราชการอื่น เช่น กระทรวงวัฒนธรรมและกระทรวงศึกษาธิการ ส่วนองค์กรเอกชนนั้นก็ได้ แก่ยุวพุทธิกสมาคมแห่งประเทศไทย พุทธสมาคมแห่งประเทศไทย และ องค์การพุทธศาสนิกสัมพันธ์แห่งโลก เป็นต้น


 ในส่วนของวัดพระธรรมกายนั้น เมื่อเป็นแหล่งของคำสอนที่บิด เบือนและนอกพระพุทธศาสนาเสียแล้ว หากจะยอมให้มีอยู่ต่อไปก็ไม่ควร จะอนุญาตให้เป็นวัดพุทธตามกฎหมายไทย และไม่ควรยอมให้สาวกห่มจีวร แบบพระภิกษุสงฆ์ ถ้าหากยังขืนทำอยู่ก็จะต้องดำเนินการตามกฎหมาย เช่นเดียวกัน


 งานนี้เป็นงานที่จะต้องรณรงค์ทำทั้งในระดับชาติและในระดับสากล และต้องทำโดยเร็วที่สุดที่จะทำได้ หาไม่แล้วลัทธิธรรมกายจะกลายเป็นโรค ระบาดร้ายแรงที่ทำลายพระพุทธศาสนาลงอย่างย่อยยับ.