"สนธิญาณ" ชี้!! จะสร้างความปรองดองตาม ปยป.ได้อย่างไร? เมื่อพรรคเพื่อไทยคิดว่า "ทหาร" เองนั่นแหละคือศัตรู

ติดตามข่าวสารเพิ่มเติมได้ที่ http://www.tnews.co.th

รายการ "ยุคลถามตรง สนธิญาณฟันธงตอบ" ประจำวันที่ 23 มกราคม 2560 ออกอากาศทางช่อง ไบรท์ทีวี หมายเลข 20 ดำเนินรายการโดย คุณยุคล วิเศษสังข์ (หนึ่ง) ได้สัมภาษณ์คุณสนธิญาณ ชื่นฤทัยในธรรม (ต้อย) กรรมการผู้อำนวยการบริษัท ทีนิวส์ทีวี โดยมีเนื้อหาดังต่อไปนี้

ยุคล : คุณสนธิญาณจะมาให้ทัศนะเกี่ยวกับความคืบหน้าของคณะกรรมการ ปยป. ซึ่งสัปดาห์ที่ผ่านมาก็ไปให้รายละเอียดเกี่ยวกับเรื่องของการสร้างความปรองดองอย่างเป็นไฮไลต์หลักอยากจะบอกนะครับว่าการสร้างความปรองดองที่แท้จริงนั้นไม่ได้เป็นการสร้างที่เกิดขึ้นจากบรรดานักการเมือง หรือว่า กลุ่มแกนนำ ทางการเมืองเท่านั้น การสร้างความปรองดองที่แท้จริงนั้นคุณสนธิญาณบอกว่าต้องลงลึกย้อนกลับไปถึงของประชาชน โดยเฉพาะปัญหาของความเหลื่อมล้ำ ชีวิตความเป็นอยู่ เรื่องของที่ดิน โอกาสทรัพยากรต่างๆ จะต้องมีการดูแลประชาชนอย่างทั่วถึง ซึ่งเป็นเรื่องที่ พล.อ.ประยุทธ์เองได้เอ่ยออกมาภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี เมื่อวันอังคารที่แล้วนะครับว่า เรื่องการสร้างความปรองดองก็ต้องกลับไปดูแลประชาชนโดยเฉพาะปัญหาความเหลื่อมล้ำในสังคมด้วย

.

.

สนธิญาณ : สน ทุกคนก็คาดหวังเรื่องการปรองดอง ดูจากโพลดูจากความเห็นของประชาชนทั้งหลายด้วยนะครับ อยากให้บ้านเมืองเรียบร้อย มีข้อยุติลงเสียที ทำไมถึงเป็นแบบนี้ ย้ำนะครับ เป็นเพราะความเหนื่อยหน่ายของประชาชนที่เผชิญกับความขัดแย้งซึ่งเกิดขึ้นในสังคม และกระทบต่อวิถีชีวิต กระทบต่อความเป็นอยู่ กระทบทุกอย่าง ดังนั้นสิ่งที่เราจะต้องคิดและพิจารณาถามหาข้อเท็จจริงก็คือ ความขัดแย้งที่เราพูดนั้นขัดแย้งอะไรอยู่ ใครขัดแย้งกับใคร นี่เป็นประเด็นแรกที่สังคมไม่เคยหยิบยกมาพูดกันเลย ในความรู้สึกที่ว่ามีคนสีเหลือง มีคนสีแดง มีพรรคประชาธิปัตย์ มีพรรคเพื่อไทย แล้วขัดแย้งกัน ขัดแย้งเรื่องอะไรครับ ในความเป็นจริงนั้นสลับซับซ้อนและลึกซึ้งมากกว่านั้น ฉะนั้นเรื่องที่จะมาพูดกัน เรื่องเอ็มโอยู เรื่องที่จะมาให้แต่ละฝ่ายมาเซ็นกันก็ต้องดูก่อน ยกตัวอย่างเช่น พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยขัดแย้งกับใคร แรกเริ่มเดิมทีดูเหมือนว่าสอบตรวจระบอบทักษิณ ตรวจสอบรัฐบาลพรรคเพื่อไทย การทุจริตคอร์รัปชั่นการใช้อำนาจปรากฏว่า หลังจากตรวจสอบแล้วรัฐบาลทักษิณถูกยึดอำนาจไป พันธมิตรก็มาตรวจสอบพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวหาพรรคประชาธิปัตย์รุนแรงเหมือนกันนะครับว่าขายชาติ กรณีเขาพระวิหาร มาดูพรรคประชาธิปัตย์กับพรรคเพื่อไทยเขาขัดแย้งกันเรื่องอะไร แต่แรกเดิมทีเขาต่อสู้กันในสภา พรรคประชาธิปัตย์ก็เป็นฝ่ายค้าน พรรคเพื่อไทยก็ตรวจสอบการทุจริตคอร์รัปชั่น จู่ๆ ต่อมาพรรคเพื่อไทยรู้สึกได้ว่าพรรคประชาธิปัตย์ออกมาประท้วงออกมาคัดค้านก่อนหน้านั้นด้านหนึ่งก็ไปหนุนพันธมิตร ต่อมาประท้วงคัดค้านขยายใหญ่กลายเป็น กปปส. เป็นเงื่อนไขให้ทหารมายึดอำนาจ นั่นคือสิ่งที่พรรคเพื่อไทยคิดกับพรรคประชาธิปัตย์ และพรรคประชาธิปัตย์ก็คิดว่าทักษิณ ชินวัตร โอกาสอำนาจใช้อำนาจเงินในการให้ได้มาซึ่งที่นั่ง ส.ส. ทุจริตคอร์รัปชั่นในเชิงนโยบาย มาถึง กปปส. ขัดแย้งกับพรรคเพื่อไทยเริ่มต้นจากเรื่องง่ายๆ มีอะไรก็เรื่องของการนิรโทษกรรม ต่อสู้กันไปมาก็เรียบร้อยเกิดการยึดอำนาจโดยทหาร พรรคเพื่อไทยมีอันเป็นไป กปปส. มีความเห็นสวนทางกับพรรคประชาธิปัตย์ในเรื่องของการรับหรือไม่รับร่างรัฐธรรมนูญ และต่อมา กปปส. คุณสุเทพแสดงท่าทีอันชัดเจนว่าสนับสนุนพล.อ.ประยุทธ์เป็นนายกรัฐมนตรีต่อไป แต่ท่าทีของพรรคประชาธิปัตย์ไม่ได้เป็นแบบนั้น เดินเรื่องของการปกครองในระบบประชาธิปไตยต่อไป นี่คือสิ่งที่เกิดขึ้น เรามาดูพรรคเพื่อไทยสิครับว่าเขาคิดอย่างไร พรรคเพื่อไทยคิดว่าตัวเองเลือกตั้งมากี่ครั้งกี่หนก็ไม่เคยแพ้เขาอยู่แล้ว แต่ศัตรูคู่อาฆาตที่เขาคิดว่าทำให้เขาต้องสูญเสียอำนาจโดยเฉพาะข้อสรุปจากทักษิณ ชินวัตร นั่นก็คือทหารครับ เขาบอกว่า ทหารเข้ามายึดอำนาจเขาในปี พ.ศ. 2549 ทหารไม่ชอบเขาเลยมายึดอำนาจเขาไป เขามาเลือกตั้งได้เป็นรัฐบาล นายสมัคร สุนทรเวช ได้เป็นรัฐบาลในปี พ.ศ. 2551 รัฐบาลประกาศภาวะฉุกเฉิน ทหารก็ไม่เข้ามาช่วยสนับสนุน ไม่ปฏิบัติตามคำสั่งของรัฐบาลที่มาจากพรรคพลังประชาชนที่เป็นเครือข่ายของระบบทักษิณ เขากล่าวหาไว้แบบนี้ ต่อมาพันธมิตรไปยึดสนามบิน เขายืนยันเลยว่าทหารไปเข้าข้างพันธมิตรที่ยึดสนามบินแล้วมาบีบให้รัฐบาลลาออก ไม่เพียงเท่านั้นคุณสมชายมีอันเป็นไป เขาบอกว่าทหารเข้าไปตั้งรัฐบาลเพื่อให้ค่ายทหารสนับสนุนพรรคประชาธิปัตย์ พอถึงปี พ.ศ. 2553 เกิดม็อบคนเสื้อแดงมาประท้วงพรรคประชาธิปัตย์ ทีนี้เอาเลยนะครับทหาร ตอนสมัยคุณสมัครเขาขอให้ไปช่วยปราบม็อบก็ไม่ปราบ แต่พอถึงข่าวนี้ปราบม็อบขึ้นมา ซึ่งในปี พ.ศ. 2553 ทำให้คนบาดเจ็บล้มตายเป็นจำนวนมาก ต่อมาในปี พ.ศ. 2556 เกิดการชุมนุมของ กปปส. ก็ไปเข้าข้างและช่วยเหลือและท้ายที่สุดยึดอำนาจ เป็นไงล่ะครับ อันนี้ผมไม่ได้พูดเองนะครับ ก็เป็นข้อสรุปของพรรคเพื่อไทย คุณชูศักดิ์ สิรินิล เป็นผู้สรุป แต่ความจริงก็เป็นข้อสรุปที่คนในพรรคเพื่อไทยเขาสรุป เพราะฉะนั้นให้ชัดเขากล่าวหาว่าทหารอยู่ฝั่งตรงข้าม ฉะนั้นจะให้เขาไปปรองดองกับใคร กับพรรคประชาธิปัตย์ก็ไม่ใช่ เพราะเป็นคู่แข่งขัน กปปส. ก็เป็นแบบนั้น แต่ทหารเป็นคนทำให้ทักษิณสูญเสียอำนาจ ทักษิณเป็นคนทำให้พรรคที่อยู่ในระบอบทักษิณมีอันเป็นไป ไม่รับฟัง ไม่เชื่อถือ จะให้เขาไปปรองดองกับคนนู้นคนนี้ ซึ่งคู่ขัดแย้งที่แท้จริงของเขาคือทหาร นี่คือสิ่งที่เขาบอกกล่าวหาไว้ครับ มีสิ่งที่มากไปกว่านั้นที่เราพูดกันมาเสมอ ก็คือเรื่องของกระบวนการการกระทำความผิดตามมาตรา 112 ซึ่งเป็นกระบวนการที่รุนแรงร้ายกาจ มีเป้าหมายที่ยุทธศาสตร์ที่ชัดเจน ไม่ใช่มาทำให้แค่ระคายเคืองใต้เบื้องพระยุคลบาท ไม่ใช่เพียงแค่มาเรียกร้องบางสิ่งบางอย่าง แต่กระบวนการทางความคิดคือกระบวนการของการต้อการโค่นล้ม เพื่อเปลี่ยนแปลงไปเป็นระบอบประธานาธิบดี คนกลุ่มนี้เป็นใครที่อยู่ภายใต้กระบวนการเหล่านี้ และจะพากระบวนการเหล่านี้มาสู่การปรองดองอย่างไร เมื่อความเป็นจริงของเขาคือการรุกรบในการเปลี่ยนแปลงบ้านเมือง เมื่อเป็นแบบนี้เรากลับมาดูตัวเลขของจริง ก่อนหน้าที่พรรคเพื่อไทยจะประสบปัญหา การกระทำความผิดตามมาตรา 112 มีเพียงแค่ระดับ 10 คดี หลังจากที่พรรคเพื่อไทยมีปัญหากับกองทัพตามที่เขากล่าวหา การกระทำความผิดตามมาตรา 112 เพิ่มขึ้นนับเป็น 1,000 คดี เพราะมีการกล่าวหาว่ามีใครอยู่เบื้องหลังก่อทัพในการทำให้เขาสูญเสียอำนาจรัฐ ฉะนั้นวันนี้ผมเรียนว่าจะมีพยายามปรองดองหรืออะไรก็ตามแต่ ถ้าคนๆ หนึ่งยังไม่คิดจะปรองดองเรื่องก็จะไม่จบหรอกครับ คนๆ นั้นคือคุณทักษิณ ชินวัตร ถามว่าคุณทักษิณจะคิดปรองดองหรือครับ จะมาปรองดองได้อย่างไรเขาคิดว่าเขาไม่ได้รับความเป็นธรรม เขาถูกกลั่นแกล้ง ต้องหนีไปต่างประเทศ เขาไม่ได้คิดว่าเขาผิดหรือไม่ผิด ความเป็นจริงแบบนั้น พรรคเพื่อไทยที่อยู่ได้ทุกวันนี้ก็เพราะคุณทักษิณ นปช.ที่อยู่ได้ทุกวันนี้ก็เพราะคุณทักษิณ เป็นความจริงครับ ผมถึงเรียนว่าระดับของปัญหาเป็นแบบนี้ ความจริงจกต้องหยิบยกมาพูดกันก่อนนะครับ หลังจากที่หยิบยกมาพูดกันแล้ว หรือคนที่จะมาคลี่คลายทหารก็ต้องทำความเข้าใจก่อน บอกว่าจะเรียกคู่ความขัดแย้ง วันนี้ผมถึงต้องเรียนให้กองทัพ คสช. พล.อ.ประยุทธ์ รู้ตัวก่อนว่าพรรคเพื่อไทยเขาคิดว่าทหารเป็นศัตรูกับเขา และความจริงเขาคิดลึกไปกว่านั้นเสียด้วยซ้ำครับ ขนาดไหนก็ไปพิจารณากันครับ