"นิพิฏฐ์" เชื่อ "อสส." กลับลำเอียงข้างคดียุบไทยรักไทย !

ติดตามข่าวสารข้อมูล www.tnews.co.th

 


"นิพิฏฐ์"  สวน "อสส." กลับลำ  ไม่เชื่อพยานที่ฟ้องพล.อ.ธรรมรักษ์   ในฐานะจำเลยที่ร่วมทำผิดคดียุบพรรคไทยรักไทย    ผลพ่วงดังกล่าวทำให้ถูกเด้งจาก "สำนักนายก" หลังการเมืองเปลี่ยนสี คสช.ครองอำนาจ

 

 

 

วันนี้ ( 9 ก.พ.) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวโต้แย้ง นายอรรถพล ใหญ่สว่าง อดีตอัยการสูงสุด (อสส.) ที่ระบุว่า เหตุที่ไม่ยื่นฎีกา พล.อ.ธรรมรักษ์ อิศรางกูร ณ อยุธยาอดีตรองหัวหน้าพรรคไทยรักไทย ในคดีร่วมกับพรรคพัฒนาชาติไทย จ้างเจ้าหน้าที่คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) แก้ไขข้อมูลทางทะเบียน กกต.โดยอ้างว่าจำเลยที่ร่วมกระทำผิดได้กลับคำให้การว่า พล.อ.ธรรมรักษ์ ไม่ได้ร่วมทำผิด จึงมีมติให้ยุติคดีของ พล.อ.ธรรมรักษ์ นั้น ว่า ตนเห็นต่างกับเหตุผลของอดีต อสส.เพราะตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ปกติแล้วศาลจะไม่ให้น้ำหนักคำเบิกความของจำเลยด้วยกัน เพราะจำเลยเป็นผู้ร่วมกระทำผิดด้วย กัน ที่อาจเบิกความช่วยเหลือกัน เช่น จำเลย 5 คน ถูกฟ้องว่าไปข่มขืน หรือโทรมหญิงมาด้วยกันทั้ง 5 คน หากในชั้นศาลจำเลยคนหนึ่งบอกว่า ตนทำผิดเพียงคนเดียว ศาลไม่ต้องปล่อยจำเลยที่เหลืออีก 4 คนไปหรือ ทั้งที่ผู้หญิงถูกข่มขืนจากคนทั้ง 5 ถ้าเป็นเช่นนั้น จำเลยที่รวยอาจจ้างจำเลยที่เป็นคนจนให้รับผิดแทนตัวเองได้ ความยุติธรรมจะเสียไป

 

 

 


          "ในคดีที่ อสส.ฟ้องให้ยุบพรรคไทยรักไทย อสส.เชื่อพยานและนำพยานเหล่านี้มาเบิกความ จนศาลรัฐธรรมนูญยุบพรรคไทยรักไทย แต่พอมาฟ้อง พล.อ.ธรรมรักษ์ กับพวกให้รับโทษทางอาญาอันเนื่องมาจากการยุบพรรค ท่านกลับไม่เชื่อพยานเหล่านี้ ซึ่งน่าแปลก สำหรับความเห็นของผม เป็นความเห็นทางวิชาการเพื่อประโยชน์ในการตรวจสอบการใช้ดุลยพินิจของบุคคลในกระบวนการยุติธรรม และเพื่อให้นักกฎหมายได้วิพากษ์กันต่อไป คงเป็นเพราะการใช้ดุลยพินิจกลับไปกลับมาของอดีต อสส.เช่นนี้กระมัง เมื่อมีการยึดอำนาจ จึงถูกคำสั่งให้ย้ายมาปฏิบัติหน้าที่ในสำนักนายกรัฐมนตรี" นายนิพิฏฐ์ กล่าว