- 15 พ.ค. 2559
ติดตามข่าวสารเพิ่มเติมที่ www.tnews.co.th
นายบุญญ์พัชรเกษม เสริมวัฒนากุล อดีตข้าราชการกระทรวงการต่างประเทศ นักสื่อสารมวลชน และผู้ผลิตสารคดีเทิดพระเกียรติ ได้โพสต์ข้อความ ซึ่งเป็นจดหมายเปิดผนึกถึงเอกอัครราชทูตสหรัฐประจำประเทศไทย ฉบับที่ 2 ผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว "Boonpachakasem Jeng Sermwatanarkul" โดยข้อความในจดหมายเปิดผนึกระบุ ดังนี้
"หากท่านยังระลึกได้จากจดหมายฉบับแรกที่ข้าพเจ้าเขียนถึงท่านนั้น ข้าพเจ้าเขียนในฐานะของอดีตนักการทูตและในฐานะของสื่อมวลชนที่เรียกร้องให้ท่านได้โปรดปฏิบัติตนเยี่ยงนักการทูตชาติอื่นๆ ที่เคารพในธรรมเนียมปฏิบัติทางการทูตที่ดีด้วยการให้เกียรติมิตรประเทศและการให้ความเคารพแก่องค์พระประมุขของประเทศไทย
สำหรับจดหมายฉบับนี้ ข้าพเจ้าขอเขียนในฐานะลูกคนหนึ่งของพ่อที่พร้อมจะปกป้องพ่อและครอบครัวในทุกกรณี ท่านก็คงน่าจะเข้าใจถึงความรักที่ลูกควรจะมีต่อพ่อ หากท่านได้เรียนรู้แก่นลึกของค่านิยมแห่งสังคมตะวันออกที่ให้ความสำคัญกับสถาบันครอบครัว โดยเฉพาะวัฒนธรรมไทยที่ให้ความเคารพอย่างยิ่งต่อหัวหน้าครอบครัวและให้เกียรติกับผู้ที่อาวุโสกว่าด้วยวัยวุฒิและคุณวุฒิ
หากเปรียบประเทศๆ หนึ่งคือ "บ้าน" ในบ้านก็ย่อมต้องมีพ่อแม่ลูก และก็เป็นเรื่องปกติที่พ่อจะต้องทำหน้าที่เป็นผู้นำและเป็นหลักของครอบครัว ที่ต้องคอยปกครองและปกป้องลูกๆ ให้อยู่ดีมีสุข หากลูกๆ หลายคนมีเรื่องทะเลาะเบาะแว้งกัน พ่อก็ต้องทำหน้าที่ไกล่เกลี่ยและให้ความยุติธรรม ซึ่งในสำนึกของความเป็นพ่อคนเป็นแม่คนนั้น คงไม่มีพ่อแม่คนไหนในโลกที่ไม่รักลูกตัวเองและที่สำคัญพ่อแม่ทุกคนต่างก็รักลูกตัวเองเท่าๆ กัน ตัวท่านเองก็คงเข้าใจถึงความเป็นพ่อ หากท่านมีลูกหลายคน ท่านก็น่าจะยิ่งเข้าใจว่าการรักลูกเท่ากันนั้นรู้สึกอย่างไร เพราะเป็นความรู้สึกที่มิใช่วัดด้วยเหตุผล แต่ต้องวัดด้วย..ใจ
เมื่อคนในครอบครัวเราเองจะพูดจะคุย จะปรึกษาหารือกันนั้น ก็มีคำถามว่า
-เราจำเป็นต้องไปขออนุญาตคนบ้านอื่นก่อนหรือไม่ ในการทำกิจวัตรส่วนตัวภายในบ้านเราเอง?
-เราจำเป็นต้องฟังหรือไปขอความเห็นคนบ้านอื่นหรือไม่ หากคนในบ้านเรามีปัญหากันไม่ว่าจะเป็นเรื่องเล็กหรือเรื่องใหญ่?
-หากมีเพื่อนบ้านสักคนจะเดินเข้ามาในบ้านเรา เขาคนนั้นควรจะต้องขออนุญาตเจ้าของบ้านก่อนหรือไม่?
-หากมีเพื่อนบ้านที่มิใช่รั้วติดกันมายืนชี้นิ้วสั่งการอยู่หน้าบ้าน เราจะยอมให้เพื่อนบ้านคนนั้นกระทำเช่นนั้นหรือไม่?
ทุกคำถามต้องการคำตอบที่มาจากสามัญสำนึกล้วนๆ สามัญสำนึกในความเป็นมนุษย์ที่เป็นสัตว์สังคม มิได้ต้องการคำตอบที่ต้องการข้อมูลอ้างอิงหรือการค้นคว้าในระดับจุลภาคหรือมหภาคแต่ประการใด
คำถามเดียวสำหรับจดหมายฉบับนี้ ในฐานะลูก หากมีใครไปยืนสั่งให้พ่อของท่านห้ามทำอย่างนั้นหรือต้องทำอย่างนี้ในเขตรั้วบ้านของท่าน ท่านจะยอมหรือไม่ และหากเหตุการณ์นั้นเกิดขึ้นในบ้านของท่านจริงๆ ในฐานะลูกท่านจะต้องทำอย่างไร
หากท่านได้คำตอบแล้ว ไม่จำเป็นต้องตอบเสียงดังๆ ให้เราได้ยิน แค่ตอบในใจดังๆ ให้ตัวท่านเองได้ฟังอย่างเข้าใจ แล้วท่านก็จะรู้ว่า นั่นคือคำตอบของคนไทยทั้งประเทศ
สุดท้ายแต่ไม่ท้ายสุด หวังว่าคงไม่ต้องให้ข้าพเจ้าเขียนจดหมายเปิดผนึกฉบับที่ 3 ให้ท่านรำคาญใจอีก ด้วยความปรารถนาดีและการให้เกียรติในความเป็นมนุษย์ของผู้อื่นเสมอมา
บุญญ์พัชรเกษม เสริมวัฒนา
นายเกล็น เดวีส์ ตามข้อมูลจากการเผยแพร่ของ กระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ ระบุว่า เกล็น ทาวน์เซนด์ เดวีส์ จบการศึกษาระดับปริญญาตรีสาขา Foreign Service จาก Georgetown University และปริญญาโทจาก National Defense University เป็นนักการทูตอาชีพลำดับชั้นอัครราชทูตที่ปรึกษา ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาอาวุโสฝ่ายกิจการเอเชียตะวันออกและแปซิฟิก กระทรวงการต่างประเทศสหรัฐอเมริกา ตั้งแต่ พ.ศ. 2557 จนถึงปัจจุบัน
ก่อนหน้านั้น นายเดวีส์ เคยเป็นผู้แทนพิเศษด้านนโยบายเกาหลีเหนือระหว่าง พ.ศ. 2555 - 2557 และปฏิบัติราชการในตำแหน่งผู้แทนสหรัฐอเมริกาประจำสหประชาชาติ ณ กรุงเวียนนา และทบวงการพลังงานปรมาณูระหว่างประเทศ (International Atomic Energy Agency - IAEA) ระหว่างปี พ.ศ. 2552 - 2555 นายเดวีส์ เคยดำรงตำแหน่งหัวหน้ากลุ่มรองผู้ช่วยรัฐมนตรีและเป็นรองผู้ช่วยรัฐมนตรีฝ่ายกิจการเอเชียตะวันออกและแปซิฟิก กระทรวงการต่างประเทศสหรัฐอเมริกา ระหว่าง พ.ศ. 2549 - 2552 ทั้งยังเป็นที่ปรึกษาอาวุโสประจำ Leadership and Management School แห่ง Foreign Service Institute (FSI) เมื่อ พ.ศ. 2548 - 2549 รักษาการผู้ช่วยรัฐมนตรีฝ่ายประชาธิปไตย สิทธิมนุษยชน และแรงงาน กระทรวงการต่างประเทศสหรัฐอเมริกาในปี พ.ศ. 2548 รองผู้ช่วยรัฐมนตรีฝ่ายกิจการยุโรประหว่างปี พ.ศ. 2547 - 2548 และผู้อำนวยการฝ่ายการเมืองในวาระที่สหรัฐอเมริกาเป็นประธานกลุ่ม G-8 ระหว่างปี พ.ศ. 2546 - 2547 และช่วงปี พ.ศ. 2542 - 2546 นายเดวีส์ รับตำแหน่งอัครราชทูตที่ปรึกษาของสถานเอกอัครราชทูตสหรัฐอเมริกา ณ กรุงลอนดอน
นอกจากนี้ นายเกล็น ยังเคยเป็นผู้อำนวยการสำนักเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (National Security Council - NSC) ระหว่างปี พ.ศ. 2540 - 2542 รองโฆษกกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐอเมริกา และรองผู้ช่วยรัฐมนตรีฝ่ายกิจการสาธารณะระหว่าง พ.ศ. 2538 - 2540 และผู้อำนวยการศูนย์ปฏิบัติการ (Operations Center) กระทรวงการต่างประเทศสหรัฐอเมริกา ระหว่าง พ.ศ. 2535 - 2537 ขณะที่ก่อนหน้านั้น เคยไปปฏิบัติราชการในหลายประเทศ เช่น ออสเตรเลีย ฝรั่งเศส และ ซาอีร์
สำหรับเอกอัครราชทูตสหรัฐอเมริกาประจำประเทศไทยคนก่อนหน้านี้ คือ นางคริสตี เคนนีย์ ซึ่งหมดวาระการดำรงตำแหน่งไปเมื่อในวันที่ 4 พ.ย. 2557 ก่อนที่จะมีการแต่งตั้ง นายดับเบิลยู แพทริก เมอร์ฟี อุปทูตสหรัฐฯ ให้ดำรงตำแหน่งรักษาการแทนเอกอัครราชทูต จนกระทั่งล่าสุดนับเป็นเวลากว่า 6 เดือน กว่าที่ นายบารัค โอบามา จะเสนอชื่อ นายเกล็น เดวีส์ เพื่อดำรงตำแหน่งเอกอัครราชทูตสหรัฐฯ ประจำประเทศไทยคนใหม่ ท่ามกลางกระแสข่าวความสัมพันธ์ระหว่างไทย กับ สหรัฐฯ ที่ย่ำแย่ลงด้วยท่าทีของสหรัฐฯ ต่อรัฐบาลไทยภายหลังการรัฐประหาร 22 พ.ค. 2557
ก่อนหน้านั้น นายกลิน เดวีส์ ได้ออกมาแสดงความเห็นว่า สหรัฐฯ ห่วงกังวลอย่างยิ่งกับสิ่งที่เกิดขึ้น และย้ำจุดยืนที่ได้พูดไปโดยโฆษกกระทรวงต่างประเทศสหรัฐแล้วว่าสหรัฐห่วงกังวลกับการจับกุมนักเคลื่อนไหวทางการเมืองและเห็นว่าควรต้องมีการเปิดพื้นที่ทางการเมือง เพราะสิ่งที่เกิดขึ้นขัดต่อพันธกรณีของไทยตามหลักสากล
ขอบคุณภาพจาก : FB - Boonpachakasem Jeng Sermwatanarkul, FB - U.S. Embassy Bangkok