- 15 พ.ค. 2559
ติดตามรายละเอียดเพิ่มเติม www.tnew.co.th
คงต้องตามเรื่องนี้กันยาว ๆ เพราะกรณีผลประโยชน์ทับซ้อนระหว่างบมจ.ทีโอที กับ บมจ.เอไอเอส เป็นปมเงื่อนงำที่มีความถอดรหัสมาในหลายยุคสมัย แต่ยังไม่เคลียร์คัทในทุกประเด็น เพราะคนที่รักษาผลประโยชน์ชาติอย่าง ผู้บริหารบมจ.ทีโอทีถูกครอบงำโดยภาคการเมืองอย่างชัดเจนแทบทุกยุคสมัย นับตั้งแต่เจ้าของเครือชินคอร์ปอย่าง “ทักษิณ ชินวัตร” เข้ากุมอำนาจเบ็ดเสร็จการบริหารประเทศผ่านพรรคการเมืองในสังกัด !!!
ล่าสุดกับการออกมาตั้งข้อสังเกตว่า กรณีการเจรจาเป็นพันธมิตรระหว่าง บมจ.ทีโอที และ บมจ.เอไอเอส มีเงื่อนงำบ่งชี้ให้เห็นความไม่ปกติในหลายประเด็นเข้าข่ายผิดกฎหมายของ นายชาญชัย อิสระเสนารักษ์ ในฐานะรองประธานอนุกรรมาธิการวิสามัญศึกษากลไกปราบปรามทุจริต ในสังกัดคณะกรรมาธิการวิสามัญป้องกันและปราบปรามการทุจริต สภาขับเคลื่อนเพื่อการปฎิรูปประเทศ (สปท.) และต่อมา บมจ.เอไอเอสก็ทำหนังสือตอบโต้ในทันทีว่าดีลธุรกรรมทั้งหมดถูกต้องชอบธรรม
แต่ในทางกลับกัน นายชาญชัย ก็เปิดชุดข้อมูลใหม่เพื่อเน้นย้ำให้เห็นสมมุติฐานที่เชื่อได้ว่าอาจมีความฉ้อฉลในการกระทำสัญญาระหว่างบมจ.ทีโอทีและบมจ.เอไอเอส ยาวนานต่อเนื่องตั้งแต่ยุคสัมปทานคลื่น 900 MHz จนมาถึงยุคปัจจุบันที่ บมจ.เอไอเอสยังมีบทบาทสำคัญในเชิงธุรกิจเหนือ บมจ.ทีโอที ที่ถือเป็นรัฐวิสาหกิจโทรคมนามคมแห่งชาติ ???
นายชาญชัย เปิดข้อมูลโดยย้อนถึงคำชี้แจงของบมจ.เอไอเอส ใน 3 ประเด็นสำคัญพร้อมข้อหักล้างในเชิงประจักษ์พยานหลักฐานในช่วงเริ่มต้นการสัมปทานคลื่น 900 MHz ดังนี้
(ข้อมูลเอไอเอส) : 1.กรณีที่เอไอเอส แก้ไขสัญญาสัมปทานโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย ทำให้ไม่ต้องจ่ายค่าสัมปทานแก่บริษัท ทีโอที จำกัด (มหาชน) ซึ่งเป็นเงิน 88,359 ล้านบาทนั้น เอไอเอสขอยืนยันว่าการแก้ไขสัญญาดังกล่าวนั้นก่อให้เกิดประโยชน์กับรัฐ และรัฐได้ผลประโยชน์เพิ่มขึ้น ในขณะที่ประชาชนหรือผู้ใช้บริการได้ใช้บริการในราคาถูกลง
อีกทั้งการแก้ไขสัญญาสัมปทานที่ผ่านมา ผู้ประกอบการทุกรายดำเนินการเหมือนกันหมด และเป็นการดำเนินการโดยสมัครใจของคู่สัญญาทั้งสองฝ่าย ซึ่งเอไอเอสไม่ได้กระทำเองฝ่ายเดียว และในส่วนของทีโอที ซึ่งเป็นหน่วยงานของรัฐ ก็ได้ผ่านขั้นตอนการพิจารณาคณะกรรมการของทีโอที ซึ่งเป็นผู้ทรงคุณวุฒิจากหน่วยงานราชการต่างๆ อาทิ กระทรวงการคลัง สำนักงานอัยการสูงสุด สภาพัฒน์ ซึ่งได้พิจารณาอย่างรอบคอบแล้วว่าเป็นประโยชน์แก่ภาครัฐและประชาชน จึงอนุมัติให้มีการแก้ไขสัญญาระหว่างกันได้
ทั้งนี้ การแก้ไขสัญญาดังกล่าว ประชาชนยังได้ใช้บริการในราคาถูกลง เช่น กรณีการกำหนดอัตราส่วนแบ่งรายได้ของค่าบริการโทรศัพท์เคลื่อนที่แบบเติมเงิน หรือพรีเพด โดยมีเงื่อนไขให้ต้องมีการลดอัตราค่าใช้บริการลง ซึ่งเป็นผลทำให้ค่าใช้บริการถูกลง ไม่มีค่าใช้จ่ายรายเดือน และสามารถเลือกใช้บริการได้ตามความพอใจ เป็นการเปิดโอกาสให้ประชาชนทั่วไปได้เข้าถึงบริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ได้ง่ายขึ้น โดยเมื่อค่าบริการถูกลง จึงส่งผลให้ปริมาณผู้ใช้บริการเพิ่มขึ้น ส่งผลให้ทีโอที ได้รับส่วนแบ่งรายได้เพิ่มขึ้นตามปริมาณผู้ใช้บริการเช่นเดียวกัน และสัญญาหลักตลอดจนการแก้ไขสัญญาต่างๆ ก็มีผลบังคับใช้และผูกพันคู่สัญญาเรื่อยมาโดยตลอดจนกระทั่งสิ้นสุดสัญญาไปแล้วเมื่อ ก.ย.2558
(ข้อโต้แย้ง กมธ.ปราบปรามทุจริตฯ) : 1. การแก้ไขสัญญาชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ เพราะจากเอกสารบันทึกของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา คณะพิเศษ ที่ 291/2550 ลงนามโดยคุณพรทิพย์ จาละ เลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกา ระบุว่า การแก้ไขเพิ่มเติมสัญญาอนุญาต ระหว่าง ทศท.หรือ (บมจ.ทีโอที ปัจจุบัน)กับ บมจ.เอไอเอส ตามกรณีหารือ ดำเนินการไม่ถูกต้อง ตามพ.ร.บ.ให้เอกชนเข้าร่วมทุนฯฉบับปี พ.ศ.2553 เพราะไม่ได้เสนอเรื่องแก้ไขเพิ่มเติมสัญญาให้คณะกรรมการประสานงาน มาตรา 22 พิจารณา และเสนอให้ ครม. ซึ่งเป็นองค์กรที่มีอำนาจเห็นชอบกับการแก้ไขเพิ่มเติมที่ทำไปโดยไม่มีอำนาจตามกฎหมาย ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐถึง5 ครั้ง รวมมูลค่า 88,359 ล้านบาท ถือเป็นเงินที่ เอไอเอส ได้ประโยชน์หรือไม่
นายชาญชัย กล่าวต่อว่า ส่วนที่อ้างว่า การแก้ไขสัญญานี้ ทำให้ประชาชนได้ประโยชน์ใช้งานในราคาที่ถูกลงนั้น ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง มีคำพิพากษาเกี่ยวกับการแก้ไขเพิ่มเติมสัญญาของ บมจ.เอไอเอส กับ ทศท.(บมจ.ทีโอที) ไว้เมื่อวันที่ 26ก.พ. 2553 ว่า การแก้ไขสัญญาโดยทำเป็นบันทึกข้อตกลงต่อท้ายสัญญาในกรณีนี้ ไม่ได้เสนอต่อคณะกรรมการประสานงานตามมาตรา22 ของพ.ร.บ.ร่วมทุนฯ ฉบับปี 2535 เพื่อขอความเห็นชอบก่อน จึงวินิจฉัยว่า การอนุมัติให้ปรับลดอัตราส่วนแบ่งรายได้เป็นการชอบหรือไม่ หรือเพื่อประโยชน์แก่ เอไอเอส
ทั้งนี้การเปลี่ยนแปลงสัญญาในสาระสำคัญ ทำให้ ทศท. (บมจ.ทีโอที) ต้องขาดผลประโยชน์ที่ควรจะได้รับตามสัญญาหลัก แต่กลายเป็น เอไอเอส ได้รับผลประโยชน์เพิ่มขึ้น นับจากวันที่ 1มิ.ย.2544 ไปถึงสิ้นสุดสัญญาวันที่ 28 ก.ย. 2558 เป็นเวลาเกินกว่า14 ปี ที่ทำให้ ทศท. (ทีโอที)เสียประโยชน์ของรัฐที่ควรจะได้
สำหรับมูลค่าความเสียหายจากการแก้ไขสัญญาเพิ่มเติมของ เอไอเอสกับทีโอทีนั้น ตามเอกสาร หลักฐานที่ อนุฯกมธ.ตรวจสอบพบคือ การแก้ไขสัญญาครั้งที่ 3 มูลค่าความเสียหาย100 ล้านบาท ครั้งที่4 เสียหาย 7,019 ล้านบาท ครั้งที่ 5 เสียหาย 429 ล้านบาท ครั้งที่ 6 เสียหายถึง 70,819 และครั้งที่ 7 เสียหาย 9,992 ล้านบาท รวมมูลค่าเสียหายทั้งสิ้น 88,359 ล้านบาท
(ข้อมูลเอไอเอส) : 2. กรณีการจัดเก็บภาษีสรรพสามิตจากกิจการโทรคมนาคม โดยมีมติคณะรัฐมนตรีในขณะนั้น ให้ผู้รับสัมปทานทุกรายต้องชำระภาษีสรรพสามิต ซึ่งในกรณีของเอไอเอส เป็นเงินจำนวน 31,462 ล้านบาทนั้น ขอยืนยันว่ารัฐไม่ได้รับความเสียหายใดๆ และรัฐยังคงได้ประโยชน์สูงสุดเช่นเดิมจากรายได้สัญญาสัมปทาน รวมถึงเอไอเอสไม่ได้รับผลประโยชน์หรือสิทธิพิเศษใดๆ จากการดำเนินการจัดเก็บภาษีสรรพสามิตจากบริการโทรคมนาคมเพิ่มเติมแต่อย่างใด เพียงแต่แบ่งเงินที่ได้รับออกเป็น 2 ส่วน ส่วนแรกเป็นภาษีสรรพสามิตที่จะต้องชำระให้แก่กระทรวงการคลังโดยตรงเป็นรายเดือน ทำให้รัฐได้รับเงินอย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย อีกส่วนชำระให้แก่ผู้ให้สัมปทานนำไปใช้จ่ายในกิจการของตนเอง
(ข้อโตแย้งกมธ.ปราบปรามทุจริตฯ) : 2. ส่วนที่อ้างว่า การจัดเก็บภาษีสรรพสามิตจากกิจการโทรคมนาคม เอไอเอส ไม่ได้รับผลประโยชน์ใดนั้น ถามว่าในสมัยนายทักษิณ ชินวัตร เป็นนายกฯ ได้ออกพ.ร.ก.ภาษีสรรพสามิต โดยมติ ครม.เมื่อวันที่ 28 ม.ค.2546 ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาฯวินิจฉัยแล้วว่า นายทักษิณใช้อำนาจในตำแหน่งหน้าที่ในการตรา พ.ร.ก.ทั้งสองฉบับ และออกประกาศกระทรวงการคลัง รวมทั้งมติ ครม.ให้นำภาษีสรรพสามิตหักออกจากค่าสัมปทาน ซึ่งเป็นการกีดกันผู้ประกอบการกิจการโทรคมนาคมรายใหม่ เป็นการกระทำที่เอื้อประโยชน์ให้ชินคอร์ป ขณะนั้น หรือ(เอไอเอส) จนเป็นเหตุให้รัฐขาดรายได้ตามสัญญาหลักเป็นเงินอีก 36,861ล้านบาท รวมเฉพาะการแก้ไขเพิ่มเติมสัญญาและ แก้ไขกฎหมายสรรพสามิต ทำให้รัฐเสียหายรวม 125,220 ล้านบาท ซึ่งเอไอเอสได้ประโยชน์แต่ฝ่ายเดียว
(ข้อมูลเอไอเอส) : 3.กรณีสัญญาสัมปทานโทรศัพท์เคลื่อนที่คลื่น 900 เมกะเฮิรตซ์หมดสัญญาลงทาง เอไอเอสต้องส่งมอบเสาสัญญาณคลื่น เครื่องมือ อุปกรณ์ทั้งระบบทั่วประเทศ และจัดหาสถานที่ตามสัญญาข้อที่ 2 และต้องเช่าต่ออีก 2 ปีหลังหมดสัญญา ซึ่งคิดเป็นมูลค่าเครื่องมือและอุปกรณ์ที่ต้องคืนให้กับรัฐประมาณ 120,000 ล้านบาท แต่เอไอเอสยังไม่คืนรัฐนั้น ขอชี้แจงว่า ในตอนนี้เอไอเอสและทีโอทีได้มีการหารือที่จะยุติข้อพิพาทโดยการเป็นพันธมิตรทางธุรกิจร่วมกัน ซึ่งใกล้จะเสร็จสิ้นในเร็วๆ นี้
(ข้อโต้แย้ง กมธ.ปราบปรามทุจริตฯ) : 3.ส่วนที่ บมจ.เอไอเอส ระบุว่าอยู่ระหว่างการเจรจาเป็นพันธมิตรทางธุรกิจกับ บมจ.ทีโอที และรอส่งมอบเสาสัญญาณคลื่น เครื่องมือและอุปกรณ์ทั้งหมด 1.6หมื่นแห่งทั่วประเทศให้ ทีโอทีนั้น ไม่ตรงกับหลักฐานที่มี เพราะอนุฯกมธ. มีหลักฐานประทับตรา "ลับ" ของ บมจ.เอไอเอส ลงวันที่ 7 ส.ค. 2556 ถึงกรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ.ทีโอที โดยมีสาระสำคัญระบุว่า เอกสารลับนี้ขอยกเลิกหนังสือส่งมอบทรัพย์สินในส่วนของเสาติดตั้งสายอากาศคืนแก่ ทีโอที ทั้งที่ในสัญญาหลักข้อ 2,3,4 ระบุชัดเจนว่า อุปกรณ์ทั้งหมด เสา ฐานและสัญญาการเช่าที่ดินต้องส่งมอบให้ ทีโอที ณ วันที่ก่อสร้างเสร็จสิ้น โดยทรัพย์สินทั้งหมดต้องเป็นของรัฐ ในวันที่สิ้นสุดสัญญาคือวันที่ 28 ก.ย.2558 โดยไม่มีเงื่อนไข
ขณะเดียวกันการที่ เอไอเอส อ้างถึงตั้งเงื่อนไขขอเจรจาใหม่ว่า ต้องให้ เอไอเอส มีหุ้นส่วน หรือผลประโยชน์ในอุปกรณ์เหล่านี้ด้วยแล้วจะส่งมอบคืนทรัพย์สินให้ จึงเท่ากับว่ากรณีนี้มีข้อยืนยันถึงผลการกระทำร่วมระหว่างผู้บริหารบมจ.ทีโอทีกับบมจ.เอไอเอส อันเป็นเหตุให้คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช.) ชี้มูลความผิดผู้บริหารทีโอที ไปแล้ว และกรณีที่ เอไอเอส อ้างว่า การแก้ไขสัญญาเป็นไปโดยสมัครใจของทั้งสองฝ่ายนั้น จึงยิ่งถือเป็นการร่วมทำผิดกฎหมาย ที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ แต่จนถึงวันนี้กลับยังไม่ปรากฎว่าจะมีหน่วยงานใดของรัฐจะบังคับใช้กฎหมายโดยเรียกคืนทรัพย์สินกลับมาเป็นของรัฐ