ปูไม่ทิ้งกระดอง!!!  "ยิ่งลักษณ์" โพสต์ชื่นชม "ซูจี" แต่เนื้อแท้ๆจิกหนีบรัฐบาลคสช.ทุกดอก !!?!!

ติดตามรายละเะอียด www.tnews.co.th

      ถือเป็นอีกหนึ่งฉากดราม่าทางการเมืองของ  น.ส.ยิ่งลักษณ์  ชินวัตร   ในการหยิบฉวยสถานการณ์ข่าวการเยือนประเทศไทยของ  นางอองซาน  ซูจี  ที่ปรึกษาแห่งรัฐและ รมต.ต่างประเทศ เมียนมา   มาขับเคลื่อนเพื่อหวังผลทางการเมืองอย่างโจ่งแจ้ง  ชัดเจนที่สุด !!! 

 

     ทั้งนี้ถ้าพิจารณาอย่างผิวเผินจากข้อความโพสต์ของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ผ่านเพจเฟซบุ๊ค  ดูจะเป็นมิตรภาพที่อดีตนายกรัฐมนตรีไทยอย่าง  น.ส.ยิ่งลักษณ์ พึงควรจะหยิบยื่นให้กับนางอองซาน ซูจี   ในฐานะที่ไทยและมีเมียนมามีความสัมพันธ์กันอย่างมาอย่างยาวนานหลายยุคสมัยรัฐบาล

 

     แต่ถ้าดูรายละเอียดเชิงลึก  จากสิ่งที่น.ส.ยิ่งลักษณ์หยิบยกประเด็นมาพูดถึงนางอองซาน  ซูจี    ปฏิเสธไม่ได้ว่ามีนัยแฝงทางการเมืองในหลายจุด อาทิ

 

     1. กรณีที่น.ส.ยิ่งลักษณ์พูดถึงความผูกพันระหว่างนางอองซาน ซูจี กับชาวเมียนมาที่เข้าทำงานในประเทศไทย  โดยใช้คำว่า  “ภาพที่ชาวเมียนมาต้อนรับท่านอองซาน ซูจี  ท่ามกลางสายฝนถือเป็นภาพแห่งความผูกพันระหว่างผู้นำทางอุดมการณ์ที่ยึดโยงกับประชาชนซึ่งแม้จะอยู่นอกประเทศ ซึ่งนั่นก็น่าจะเป็นผลพวงจากการยืนหยัดต่อสู้เพื่ออุดมการณ์ของท่านโดยเฉพาะการพัฒนาเข้าสู่ระบอบประชาธิปไตยมาตลอดระยะเวลากว่าครึ่งศตวรรษ  น่าประทับใจมากค่ะ” 

 

 

      2.กรณีที่น.ส.ยิ่งลักษณ์พูดถึงสถานการณ์แรงงานต่างประเทศจำนวนหลายล้านคน   และยกย่องว่าแรงงานเมียนมาเป็นส่วนสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ  โดยระบุคำว่า  “แรงงานเมียนมาถือได้ว่าเป็นส่วนสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจทั้งสองประเทศ    สมัยที่ดิฉันเป็นรัฐบาลได้มีการส่งเสริมให้ไปจดทะเบียนแรงงานต่างด้าว เพื่อให้แรงงานเหล่านั้นไม่ต้องอยู่แบบหลบๆ ซ่อนๆ และสามารถมีสิทธิได้รับการคุ้มครองตามหลักกฎหมายสากล อย่างไรก็ดี ดิฉันเชื่อว่านับจากนี้ ประชาชนของประเทศเมียนมา น่าจะได้รับการดูแลจากทางรัฐบาลมากขึ้น โดยเฉพาะในเรื่องที่เกี่ยวข้องกับสิทธิเสรีภาพ ซึ่งเป็นพื้นฐานของการปกครองระบอบประชาธิปไตยค่ะ"

 

     จากท่าทีของน.ส.ยิ่งลักษณ์ผ่านข้อความทางเพจเฟซบุ๊ค   โดยวิถีวิญญูชนย่อมเข้าใจได้เองว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์มีพยายามจะเปรียบเทียบภาวการณ์ทางการเมืองของไทยกับเมียนมา     เพราะมีการเลือกใช้นางอองซาน  ซูจี   มาเป็นสัญลักษณ์สื่อถึงการยกย่องอุดมการณ์การต่อสู้ทางการเมือง    เหมือนที่น.ส.ยิ่งลักษณ์และนายทักษิณ ชินวัตร  ซึ่งยังคงเคลื่อนไหวทางการเมืองในต่างประเทศ   พยายามอ้างถึงความต้องการประชาธิปไตยกลับคืนประเทศตลอดเวลา

 

       ไม่เท่านั้นกับสโลแกนที่แกนนำนปช.เลือกนำมาใช้ในการรณรงค์จัดตั้งศูนย์ปราบโกง  ก่อนหน้านั้นก็ยังเลือกเอาถ้อยคำ “ไม่ล้ม  ไม่โกง และไม่อายพม่า”  มาเป็นธงในการเคลื่อนไหวอย่างเป็นหนึ่งเดียวกันในเชิงเทียบเคียงสถานการณ์การเมืองไทยและเมียนมา    ???
 

 

      และยิ่งชัดมากขึ้นกับจุดที่   2    ซึ่ง  น.ส.ยิ่งลักษณ์นำกรณีแรงงานเมียนมาในประเทศไทย   มาสื่อความให้อาจเข้าใจได้ว่าช่วงรัฐบาลที่ผ่านมามีความพยายามจะทำให้แรงงานต่างด้าวผิดกฎหมาย  เข้าสู่กระบวนการจดทะเบียนถูกต้องตามหลักกฎหมายสากล  แต่รัฐบาลชุดปัจจุบันให้ความสำคัญน้อยลง   จึงหวังว่าแรงงานเมียนมาจะได้รับการดูแลมากขึ้น     ไม่เท่านั้นน.ส.ยิ่งลักษณ์ยังนำเรื่องสถานการณ์แรงงานเมียนมา    ไปผูกโยงกับเรื่องสิทธิเสรีภาพ  และเรื่องพื้นฐานการปกครองในระบอบประชาธิปไตยของไทย   ทั้ง ๆ ที่ไม่ความจะเป็นที่จะต้องนำสองประเด็นนี้มาผูกโยงกัน   เพราะอย่างไรเสียแรงงานเมียนมาก็เพียงเป็นชาวต่างด้าวที่ได้รับอนุญาตเข้ามาประกอบอาชีพในไทย   เหมือนกับคนต่างด้าวอื่น ๆ ที่เข้าเมืองอย่างถูกต้องตามกฎหมายเท่านั้น  


     ในทางตรงข้ามตลอด   2   ปีที่ผ่านมาคนไทยทั้งประเทศได้เห็นแล้วว่ารัฐบาลพ  ล.อ.ประยุทธ์   ได้ดำเนินการแก้ปัญหาการค้ามนุษย์   และแรงงานเถื่อนอย่างจริงจัง   ภายหลังประเทศไทยถูกปรับบัญชีค้ามนุษย์มาอยู่   Tier 3    และถูกสหภาพยุโรปให้ใบเหลืองเตือนให้เร่งแก้ไขปัญหาประมงเถื่อน    ซึ่งถือเป็นปัญหาที่สั่งสมมาโดยตลอดหลายยุคสมัย       รวมถึงรัฐบาลน.ส.ยิ่งลักษณ์   ชินวัตร   ที่ไม่ได้ดำเนินการแก้ไขปัญหานี้เลย   มิหนำซ้ำนโยบายค่าแรง 300 บาทที่ดำเนินการไว้เพื่อสร้างคะแนนนิยมทางการเมือง   ก็กำลังจะกลายเป็นปมปัญหาใหม่ให้กับประเทศไทย  เพราะนางอองซาน ซูจี  เรียกร้องให้รัฐบาลไทยรับรองค่าจ้างขั้นต่ำ 300 บาทให้กับแรงงานเมียนมาด้วย    ???