- 24 มิ.ย. 2559
ติดตามรายละเะอียด www.tnews.co.th
ถือเป็นอีกหนึ่งฉากดราม่าทางการเมืองของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ในการหยิบฉวยสถานการณ์ข่าวการเยือนประเทศไทยของ นางอองซาน ซูจี ที่ปรึกษาแห่งรัฐและ รมต.ต่างประเทศ เมียนมา มาขับเคลื่อนเพื่อหวังผลทางการเมืองอย่างโจ่งแจ้ง ชัดเจนที่สุด !!!
ทั้งนี้ถ้าพิจารณาอย่างผิวเผินจากข้อความโพสต์ของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ผ่านเพจเฟซบุ๊ค ดูจะเป็นมิตรภาพที่อดีตนายกรัฐมนตรีไทยอย่าง น.ส.ยิ่งลักษณ์ พึงควรจะหยิบยื่นให้กับนางอองซาน ซูจี ในฐานะที่ไทยและมีเมียนมามีความสัมพันธ์กันอย่างมาอย่างยาวนานหลายยุคสมัยรัฐบาล
แต่ถ้าดูรายละเอียดเชิงลึก จากสิ่งที่น.ส.ยิ่งลักษณ์หยิบยกประเด็นมาพูดถึงนางอองซาน ซูจี ปฏิเสธไม่ได้ว่ามีนัยแฝงทางการเมืองในหลายจุด อาทิ
1. กรณีที่น.ส.ยิ่งลักษณ์พูดถึงความผูกพันระหว่างนางอองซาน ซูจี กับชาวเมียนมาที่เข้าทำงานในประเทศไทย โดยใช้คำว่า “ภาพที่ชาวเมียนมาต้อนรับท่านอองซาน ซูจี ท่ามกลางสายฝนถือเป็นภาพแห่งความผูกพันระหว่างผู้นำทางอุดมการณ์ที่ยึดโยงกับประชาชนซึ่งแม้จะอยู่นอกประเทศ ซึ่งนั่นก็น่าจะเป็นผลพวงจากการยืนหยัดต่อสู้เพื่ออุดมการณ์ของท่านโดยเฉพาะการพัฒนาเข้าสู่ระบอบประชาธิปไตยมาตลอดระยะเวลากว่าครึ่งศตวรรษ น่าประทับใจมากค่ะ”
2.กรณีที่น.ส.ยิ่งลักษณ์พูดถึงสถานการณ์แรงงานต่างประเทศจำนวนหลายล้านคน และยกย่องว่าแรงงานเมียนมาเป็นส่วนสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ โดยระบุคำว่า “แรงงานเมียนมาถือได้ว่าเป็นส่วนสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจทั้งสองประเทศ สมัยที่ดิฉันเป็นรัฐบาลได้มีการส่งเสริมให้ไปจดทะเบียนแรงงานต่างด้าว เพื่อให้แรงงานเหล่านั้นไม่ต้องอยู่แบบหลบๆ ซ่อนๆ และสามารถมีสิทธิได้รับการคุ้มครองตามหลักกฎหมายสากล อย่างไรก็ดี ดิฉันเชื่อว่านับจากนี้ ประชาชนของประเทศเมียนมา น่าจะได้รับการดูแลจากทางรัฐบาลมากขึ้น โดยเฉพาะในเรื่องที่เกี่ยวข้องกับสิทธิเสรีภาพ ซึ่งเป็นพื้นฐานของการปกครองระบอบประชาธิปไตยค่ะ"
จากท่าทีของน.ส.ยิ่งลักษณ์ผ่านข้อความทางเพจเฟซบุ๊ค โดยวิถีวิญญูชนย่อมเข้าใจได้เองว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์มีพยายามจะเปรียบเทียบภาวการณ์ทางการเมืองของไทยกับเมียนมา เพราะมีการเลือกใช้นางอองซาน ซูจี มาเป็นสัญลักษณ์สื่อถึงการยกย่องอุดมการณ์การต่อสู้ทางการเมือง เหมือนที่น.ส.ยิ่งลักษณ์และนายทักษิณ ชินวัตร ซึ่งยังคงเคลื่อนไหวทางการเมืองในต่างประเทศ พยายามอ้างถึงความต้องการประชาธิปไตยกลับคืนประเทศตลอดเวลา
ไม่เท่านั้นกับสโลแกนที่แกนนำนปช.เลือกนำมาใช้ในการรณรงค์จัดตั้งศูนย์ปราบโกง ก่อนหน้านั้นก็ยังเลือกเอาถ้อยคำ “ไม่ล้ม ไม่โกง และไม่อายพม่า” มาเป็นธงในการเคลื่อนไหวอย่างเป็นหนึ่งเดียวกันในเชิงเทียบเคียงสถานการณ์การเมืองไทยและเมียนมา ???
และยิ่งชัดมากขึ้นกับจุดที่ 2 ซึ่ง น.ส.ยิ่งลักษณ์นำกรณีแรงงานเมียนมาในประเทศไทย มาสื่อความให้อาจเข้าใจได้ว่าช่วงรัฐบาลที่ผ่านมามีความพยายามจะทำให้แรงงานต่างด้าวผิดกฎหมาย เข้าสู่กระบวนการจดทะเบียนถูกต้องตามหลักกฎหมายสากล แต่รัฐบาลชุดปัจจุบันให้ความสำคัญน้อยลง จึงหวังว่าแรงงานเมียนมาจะได้รับการดูแลมากขึ้น ไม่เท่านั้นน.ส.ยิ่งลักษณ์ยังนำเรื่องสถานการณ์แรงงานเมียนมา ไปผูกโยงกับเรื่องสิทธิเสรีภาพ และเรื่องพื้นฐานการปกครองในระบอบประชาธิปไตยของไทย ทั้ง ๆ ที่ไม่ความจะเป็นที่จะต้องนำสองประเด็นนี้มาผูกโยงกัน เพราะอย่างไรเสียแรงงานเมียนมาก็เพียงเป็นชาวต่างด้าวที่ได้รับอนุญาตเข้ามาประกอบอาชีพในไทย เหมือนกับคนต่างด้าวอื่น ๆ ที่เข้าเมืองอย่างถูกต้องตามกฎหมายเท่านั้น
ในทางตรงข้ามตลอด 2 ปีที่ผ่านมาคนไทยทั้งประเทศได้เห็นแล้วว่ารัฐบาลพ ล.อ.ประยุทธ์ ได้ดำเนินการแก้ปัญหาการค้ามนุษย์ และแรงงานเถื่อนอย่างจริงจัง ภายหลังประเทศไทยถูกปรับบัญชีค้ามนุษย์มาอยู่ Tier 3 และถูกสหภาพยุโรปให้ใบเหลืองเตือนให้เร่งแก้ไขปัญหาประมงเถื่อน ซึ่งถือเป็นปัญหาที่สั่งสมมาโดยตลอดหลายยุคสมัย รวมถึงรัฐบาลน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ที่ไม่ได้ดำเนินการแก้ไขปัญหานี้เลย มิหนำซ้ำนโยบายค่าแรง 300 บาทที่ดำเนินการไว้เพื่อสร้างคะแนนนิยมทางการเมือง ก็กำลังจะกลายเป็นปมปัญหาใหม่ให้กับประเทศไทย เพราะนางอองซาน ซูจี เรียกร้องให้รัฐบาลไทยรับรองค่าจ้างขั้นต่ำ 300 บาทให้กับแรงงานเมียนมาด้วย ???