- 25 มิ.ย. 2559
ติดตามรายละเอียด http://deeps.tnews.co.th
ถือเป็นภาพที่งดงามยิ่งกับมิตรไมตรีระหว่าง 2 ชนชาติไทยและเมียนมา ที่ไม่มีความรู้สึกเรื่องประชาธิปไตย หรือ เผด็จการ ระหว่าง นางอองซาน ซุจี และ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เข้ามาเจือปนเกี่ยวข้องเหมือนที่คนบางกลุ่มบางจำพวก พยายามจะสื่อให้เกิดความรู้สึกในเชิงเปรียบเทียบ
ผลทางตรงข้ามสังคมไทยยิ่งได้ประจักษ์ชัดว่า สถานะของพล.อ.ประยุทธ์ นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคสช.วันนี้ คือผู้นำประเทศที่นานาชาติให้การยอมรับเฉกเช่นนายกรัฐมนตรีคนอื่น ๆ ที่ยกย่องตัวเองว่าจากกระบวนการประชาธิปไตย หรือ กฎกติกาการเลือกตั้งที่ชี้ชัดว่าแล้วว่าเต็มไปด้วยบทพิสูจน์เรื่องการทุจริตซื้อเสียง และกระบวนการเข้าบริหารประเทศที่ท้ายสุดก็นำมาซึ่งการคอร์รัปชั่นทางตรงและอ้อม ผ่านแนวนโยบายต่าง ๆ ที่นำมาซึ่งการดึงเงินงบประมาณแผ่นดินแล้วแปรผันกลับไปสู่กระเป๋าเงินของกลุ่มทุนพรรคการเมือง
ขณะเดียวกันกับการเยือนประเทศไทยอย่างเป็นทางการของนางอองซาน ซูจี ยังมีอีกจุดหนึ่งทื่ถือเป็นข้อพิจารณาสะท้อนให้เห็นว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร วันนี้ ได้กลายเป็นนักการเมืองอาชีพเช่นเดียวกับพี่ชาย อย่างนายทักษิณ เต็มตัวแล้ว เมื่อเธอได้หยิบฉวยสถานการณ์ไปใช้เป็นองค์ประกอบในการสื่อสารทางการเมือง จากสิ่งที่โพสต์ผ่านเพจเฟซบุ๊ค ว่า
“ แรงงานเมียนมาถือได้ว่าเป็นส่วนสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจทั้งสองประเทศและในช่วงสมัยรัฐบาลของเธอ มีการส่งเสริมให้ไปจดทะเบียนแรงงานต่างด้าว เพื่อให้แรงงานเหล่านั้นมีสิทธิได้รับการคุ้มครองตามหลักกฎหมายสากล และเชื่อว่านับจากนี้ประชาชนชาวเมียนมา น่าจะได้รับการดูแลจากทางรัฐบาลมากขึ้น โดยเฉพาะในเรื่องที่เกี่ยวข้องกับสิทธิเสรีภาพ ซึ่งเป็นพื้นฐานของการปกครองระบอบประชาธิปไตย”
โดยอย่างน้อยสิ่งที่น.ส.ยิ่งลักษณ์ก็ทำให้เข้าใจเสมือนว่าที่ผ่านมาแรงงานเมียนมาในประเทศไทย ยังไม่ได้รับการดูแลจากรัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์ เท่าที่ควร ภายใต้สิทธิเสรีภาพทางประชาธิปไตย เสมือนเช่นรัฐบาลจากการเลือกตั้งที่มีผลงานเป็นที่ประจักษ์ชัด??
อย่างไรก็ตามท้ายสุดพล.อ.ประยุทธ์ กลับทำให้เห็นว่ารัฐบาลจากการยึดอำนาจ ไม่ได้มีขีดความสามารถในการบริหารประเทศด้อยไปกว่ารัฐบาลจากการเลือกตั้ง มิหนำซ้ำอาจดีกว่าสิ่งที่รัฐบาลน.ส.ยิ่งลักษณ์ได้กระทำไว้ในอดีต เพราะทั้งพล.อ.ประยุทธ์ และนางอองซาน ซูจี สามารถบรรลุข้อตกลงถึงกระบวนการความร่วมมือดูแลแรงงานเมียนมาในหลายประเด็น อาทิ
1.มาตรการคุ้มครองและดูแลแรงงานเมียนมา ทั้งเรื่องการรักษาพยาบาล การศึกษาของบุตรหลานของแรงงานและสิทธิในการได้รับความคุ้มครองทางด้านกฎหมายในไทย
2.การยกระดับมาตรฐานในการคุ้มครอง เรื่องการเตรียมเปิดตัวระบบร้องทุกข์ออนไลน์สำหรับแรงงานผ่านทางเว็บไซต์
3.การให้บริการสายด่วนร้องทุกข์
4.การตั้งศูนย์บริการช่วยเหลือแรงงานตามแนวชายแดนและจังหวัด ฯลฯ
อย่างไรก็ตามนอกเหนือจากประเด็นว่าด้วยเรื่องสิทธิมนุษยธรรม เศรษฐกิจ การต่างประเทศ ฯลฯ ที่จะประเมินได้จากความสำเร็จในข้อตกลงร่วมระหว่างพล.อ.ประยุทธ์ และนางอองซาน ซูจี ที่สุดแล้วปัญหาแรงงานต่างด้าวเป็นประเด็นที่ทุกฝ่ายต้องยอมรับร่วมกันว่ากำลังเป็นปัญหาใหญ่ระดับประเทศ ที่กำลังถาโถมความมั่นคงของประเทศมากขึ้น โดยเฉพาะถ้านับจากนโยบายค่าแรงขั้นต่ำ 300 บาท ของรัฐบาลน.ส.ยิ่งลักษณ์เริ่มต้นขึ้นในเดือน เมษายน 2555 และกลายเป็นแรงจูงใจอย่างดีให้แรงงานต่างด้าวผิดกฎหมายทะลักล้นเข้ามาในประเทศไทย ตามเหตุผลของทีดีอาร์ไอซึ่งระบุว่าค่าแรงของประเทศเพื่อนบ้านมีอัตราต่ำกว่าของไทยประมาณ 3 เท่าตัว ทำให้ประมาณการตัวเลขแรงงานต่างด้าวทั้งที่ถูกกฎหมายและผิดกฎหมายในไทยปัจจุบันมีตัวเลขไม่ต่ำกว่า 5 ล้านคน และภายใต้ปริมาณแรงงานต่างด้าวขณะนี้ก็มีจุดเสี่ยงให้ต้องพิจารณาอย่างรอบด้าน เช่นสิ่งที่เกิดขึ้นแล้วจากกรณีตัวอย่าง 5 ข้อเรียกร้องของกลุ่มแรงงานเมียนมาถึงรัฐบาลไทย โดยผ่านนางอองซาน ซูจี ประกอบด้วย
1.ขอให้รัฐบาลเมียนมาร่วมกับรัฐบาลไทยเปิดจดทะเบียนแรงงานข้ามชาติและผู้ติดตามรอบใหม่ เนื่องจากขณะนี้ยังมีแรงงานต่างด้าวที่ผิดกฎหมายและลักลอบทำงานในไทยประมาณ 1-2 ล้านคน
2.ขอให้ประสานกับทางการไทยติดตามและบังคับใช้กฎหมายให้นายจ้างไทยจ่ายค่าจ้างตามข้อกำหนดค่าจ้างขั้นต่ำวันละ 300 บาท เนื่องจากขณะนี้นายจ้างบางส่วนทั้งในกรุงเทพฯ สมุทรสาคร และจังหวัดต่างๆ ยังจ่ายค่าจ้างต่ำกว่าวันละ 300 บาท
3.ประสานงานกับทางการไทย เพื่อให้สิทธิแรงงานเมียนมาที่มีบัตรสีชมพูสามารถเดินทางไปยังจังหวัดต่างๆ ได้ โดยไม่ถูกจำกัดการเดินทางอยู่ในจังหวัดที่ทำงานเท่านั้น
4.ขอให้ลงนามบันทึกความร่วมมือ (เอ็มโอยู) ระหว่างทางการไทยกับเมียนมาในการนำเข้าแรงงานเมียนมา มาทำงานในไทย โดยผ่านระบบรัฐต่อรัฐ
5.ขอให้ทางการไทยดูแลบุตรหลานแรงงานเมียนมา ให้ได้รับการศึกษาและสาธารณสุข รวมทั้งสามารถเทียบโอนวุฒิการศึกษาระหว่างไทยกับเมียนมาได้
ซึ่งทั้งหมดนอกเหนือจะเป็นข้อเรียกร้องของแรงงานเมียนมา ที่ในฐานะผู้บริหารประเทศทุกรัฐบาลต้องรับฟังและหาจุดสมดุลให้ลงตัว
แต่อีกนัยหนึ่งก็คือข้อบ่งชี้ว่าสถานการณ์แรงงานต่างด้าวกำลังเดินมาถึงจุดเฝ้าระวังว่าต่อไปในอนาคตปริมาณแรงงานต่างด้าวที่เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ จะส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตคนไทยหรือไม่อย่างไร ทั้งในแง่การให้บริการด้านสาธารณสุข การบริการสาธารณะ ปัญหาอาชญากรรม ฯลฯ ขณะที่แน่ชัดที่สุดปริมาณการเพิ่มขึ้นของแรงงานต่างด้าวในไทยก็คือผลจากนโยบายประชานิยมทางการเมืองว่าด้วยอัตราค่าข้างขั้นต่ำ 300 บาท ซึ่งสามารถอ้างอิงได้ตามข้อเรียกร้องที่ 2 ของแรงงานเมียนมาถึงรัฐบาลไทย ถึงเหตุปัจจัยว่าทำไมแรงงานต่างด้าวจึงมากกมายเกลื่อนเมืองในขณะนี้ ??