"วิลาศ"ออกโรงกระตุกรัฐจับตาเงื่อนสัญญาต่อขยายรถไฟฟ้าสายน้ำเงิน ชี้เอื้อช.การช่างเต็มสูบส่อเข้าข่ายฮั้ว??

ติดตามรายละเอียด deeps.tnews.co.th

     นายวิลาศ จันทร์พิทักษ์ อดีต ส.ส. กทม. พรรคประชาธิปัตย์ แถลงข่าวตั้งข้อสังเกตการกำหนดนโยบายของรัฐบาล เกี่ยวกับการบริหารโครงการรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงินส่วนต่อขยาย ว่ามีหลายจุดให้พิจารณาปรับปรุงแก้ไข  เริ่มจากที่มีกการเปลี่ยนแปลงแนวทาง จากเดิมเอกชนร่วมทุนกับรัฐ และจ้างเอกชนมาบริหาร เป็นให้เอกชนลงทุนเอง บริหารเอง ซึ่งจะส่งผลต่อค่าใช้จ่ายของประชาชนในอนาคต ที่อาจต้องจ่ายค่าโดยสารแพงขึ้น เนื่องจากเมื่อเอกชนลงทุนก็หวังผลกำไรที่สูงตามมา และรัฐจะไม่สามารถเข้าไปควบคุมได้

         

     โดยนายวิลาศได้ตั้งข้อสังเกตุปัญหาที่ส่อว่าอาจเอื้อประโยชน์ให้กับ บริษัท ทางด่วนและรถไฟฟ้ากรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ บีอีเอ็ม (ช.การช่าง และบริษัทในกลุ่ม)  ระบุว่า จากกรณีที่รัฐบาลมีแนวทางแก้ปัญหาช่วงต่อระหว่างสถานีบางซื่อกับเตาปูน ซึ่งเบื้องต้นจะต้องใช้รถบัสบริการ หรือต้องเดินกินลมดูทางที่ไม่มีรถไฟวิ่ง ซี่งต้องใช้เวลาอย่างน้อยไม่ต่ำกว่า 1 ปี จึงจะมีการเชื่อมต่อทั้งสองสถานีได้ ในระหว่างให้มีการเจรจากับบริษัทบีอีเอ็ม ซึ่งเป็นผู้ได้รับสัมปทานรถไฟฟ้าสายเฉลิมรัชมงคล หรือ หัวลำโพง-บางซื่อ ให้เดินรถในช่วงต่อขยายเตาปูน-บางซื่อ ซึ่งเท่ากับทำให้บริษัทดังกล่าวได้ประโยชน์ เพราะไม่ต้องผ่านการประมูลแข่งขัน ขัดกับนโยบายเดิมที่สภาพัฒน์ กระทรวงการคลัง และสำนักงบประมาณเคยให้ความเห็นชอบไว้ว่า ในส่วนต่อขยายดังกล่าวควรเปิดประมูลการเดินรถใหม่ เพื่อให้เกิดความโปร่งใสและเป็นประโยชน์ต่อประชาชน

          นายวิลาศ กล่าวด้วยว่า   ด้วยมติ ครม. เมื่อเดือนตุลาคม 2558 ให้นำเอาส่วนต่อขยายเตาปูน-บางซื่อ ไปรวมกับสายสีน้ำเงินต่อขยาย ช่วงเตาปูน-ท่าพระ โดยให้เอกชนลงทุนเอง จากนั้นคณะกรรมการนโยบายการให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการรัฐวัมีมติในวันที่ 11 พ.ค. 2559 ให้ความเห็นชอบให้มีการเดินรถแบบต่อเนื่อง จึงขอตั้งข้อสังเกตว่าเหมือนกับมีการตกลงกับใครล่วงหน้าหรือไม่ มีการเอื้อประโยชน์กับเอกชนรายใดหรือเปล่า และการให้เจรจากับบริษัทเดิมจะเข้าข่ายการล็อกสเปกขัดกฎหมายฮั้วหรือไม่ เพราะเวลานี้มีการใช้ประชาชนเป็นตัวประกัน อ้างว่าเพื่ออำนวยความสะดวกกับประชาชน จำเป็นต้องเจรจากับรายเดิมให้เดินรถ

          นายวิลาศ ตั้งข้อสังเกตด้วยว่า หากดำเนินการเช่นนี้ บริษัท บีอีเอ็ม ย่อมมีแนวโน้มที่อาจจะได้ประโยชน์จากการต่ออายุสัมปทานสายหัวลำโพง-บางซื่อซึ่งจะครบกำหนดในปี 2572 ไปด้วย เพราะเมื่อบริษัทดังกล่าวได้เดินรถส่วนต่อขยายเตาปูน-บางซื่อจะมีสัมปทานเป็นเวลา 30 ปี หมดอายุประมาณปี 2592 จึงมีโอกาสที่จะทำให้การเจรจาเพื่อต่ออายุสัมปทานสายหัวลำโพง-บางซื่อจะไม่มีการเปิดประมูลแข่งขัน แต่เป็นการเจรจากับรายเดิม อีกทั้งยังอาจมีผลไปถึงสายหัวลำโพง-บางแค ให้บริษัทเดิมได้รับสัมปทานไปด้วย เนื่องจากเป็นโครงการที่เชื่อมโยงกัน

           “หากสิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นจริง ก็จะทำให้เกิดการผูกขาดการเดินรถสายสีน้ำเงินทั้งระบบ ไม่สอดคล้องกับนโยบายที่นายกรัฐมนตรี ต้องการจะปราบปรามการทุจริตคอร์รัปชั่น เพราะรัฐบาลเอกชนร่วมทุนจะเป็นประโยชน์กับประชาชนมากกว่า เนื่องจาก รฟม. จะมีสิทธิเป็นผู้บริหารจัดการ แต่เมื่อให้เอกชนบริหารเอง กำหนดราคาเอง จะกระทบประชาชน เพราะเอกชนย่อมคำนึงถึงผลกำไรมากกว่า”

     นายวิลาศ  อ้างด้วยว่า เมื่อไม่นานมานี้ยังมีการเคลื่อนไหวที่น่าสนใจของบริษัทบีอีเอ็ม เพราะเดิมคือบริษัท รถไฟฟ้ากรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ บีเอ็มซีแอล ซึ่งที่ผ่านมามีผลขาดทุนสะสมอยู่หมื่นกว่าล้าน ได้ควบรวมบริษัท ทางด่วนกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ บีอีซีแอล ซึ่งมีกลุ่ม ช. การช่าง เป็นบริษัทแม่ มีกำไรกว่าหมื่นล้านบาท การควบรวมดังกล่าวจะทำให้บริษัทบีเอ็มซีแอลมีสถานะการเงินที่ดีขึ้น สามารถกู้เงินจากสถาบันการเงินได้ง่ายขึ้น เป็นการเตรียมความพร้อมเพื่อดำเนินโครงการอะไรหรือไม่ สอดรับกับสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นหรือเปล่า

         

    “ผมขอฝากไปยังคณะกรรมการนโยบายให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐที่จะประชุมเร็ว ๆ นี้ทบทวนเรื่องดังกล่าว เพราะทราบมาว่ามีการเสนอขออนุมัติให้ใช้วิธีการเจรจา หากไม่เล่นกลกันในวันที่ก่อสร้างสถานีเสร็จเพื่ออำนวยความสะดวกของประชาชน ควรให้มีการวิ่งทะลุไปถึงเตาปูนแทนที่จะสิ้นสุดแค่ที่สถานีบางซื่อ ก็จะไม่เสียเวลาเหมือนที่เป็นอยู่ และขอตั้งคำถามถึงนายอาคม เติมพิทยาไพสิษฐ์ รมว.คมนาคม ที่เคยเป็นเลขาสภาพัฒน์ฯ มาก่อนด้วยว่าจะทักท้วงเรื่องนี้อย่างไร ผมทราบว่ามีที่ปรึกษาบริษัทหนึ่ง เที่ยวไปขอทีโออาร์เพื่อศึกษา ไม่รู้จะเอาไว้เจรจากับใครหรือไม่ และในระยะหลังแนวทางการบริหารของรัฐบาลจะออกลักษณะผูกขาดให้ไปเจรจากับคนนั้นคนนี้” นายวิลาศ กล่าว

         

      ส่วนกรณีที่ผู้ว่าการการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) ให้สัมภาษณ์ว่าจะจัดรถบัสและรถไฟบริการใช้งบประมาณปีละ 174 ล้านบาทนั้น นายวิลาศ กล่าวว่า แทนที่จะเอาเงินดังกล่าวไปจ้างรถบัส หรือรถไฟ นำมาทำระบบเดินรถไฟฟ้าช่วงระหว่างสองสถานีนี้ ซึ่งจะเป็นสมบัติของ รฟม. แทนที่จะเป็นเสียเป็นค่าจ้างก็จะประหยัดเงินและได้ประโยชน์กับทุกส่วนอย่างแท้จริง