- 12 ก.ค. 2559
ติดตามรายละเอียด deeps.tnews.co.th
ไม่ธรรมดาแน่ ๆ กับท่าทีล่าสุดของพระเมธีธรรมาจารย์ หรือ เจ้าคุณประสาร จนฺทสาโร ผู้ช่วยเจ้าอาวาสพระอารามหลวง วัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฎิ์ราชวรมหาวิหาร ในฐานะเลขาธิการศูนย์พิทักษ์พระพุทธศาสนาแห่งประเทศไทย ที่โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กล่าสุดต่อแนวทางการเคลื่อนไหว สนับสนุน สมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ หรือ “สมเด็จช่วง” เป็นสมเด็จพระสังฆราชองค์ใหม่ โดยการให้เวลา พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคสช. ดำเนินการให้ชัดเจนภายใน 1 สัปดาห์ หลังจากนั้นจะกำหนดท่าทีร่วมกันในการเคลื่อนไหวในรูปแบบต่างๆ ทั่วประเทศ
ประเด็นต้องพิจารณาก็คือ พระเมธีธรรมาจารย์ หรือ เจ้าคุณประสาร จะขับเคลื่อนไหวในรูปแบบไหน อย่างไร และใช้เหตุผลอะไรในการออกมาเคลื่อนไหวกดดันการปฏิบัติหน้าที่ในฐานะนายกรัฐมนตรี ของพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ...
เพราะโดยหลักการสำคัญของมาตรา 7 แห่ง พ.ร.บ.สงฆ์ ไม่ว่ารายชื่อสมเด็จพระราชาคณะเพื่อการสถาปนาเป็นสมเด็จพระสังฆราช จะมาจากช่องทางใดระหว่างมหาเถรสมาคม หรือ นายกรัฐมนตรี แต่กระบวนการขั้นตอนสุดท้าย มีข้อกำหนดไว้ชัดเจนว่านายกรัฐมนตรีจะเป็นผู้นำรายชื่อขึ้นทูลเกล้าฯ หรือ เท่ากับเป็นผู้อำนาจเต็มในการพิจารณาความเหมาะสมขั้นตอนสุดท้าย ก่อนนำรายชื่อขึ้นทูลเกล้าฯ
และที่ผ่านมาโดยหลักการของพล.อ.ประยุทธ์ ก็ชัดเจนมาตั้งแต่ต้นว่าหลักการนำรายชื่อ “สมเด็จช่วง” ขึ้นทูลเกล้าฯเป็นสมเด็จพระสังฆราช จำเป็นต้องได้รับการพิสูจน์อย่างครบถ้วนแล้ว ว่าเป็นผู้บริสุทธิ์จากข้อกล่าวหาอันเป็นความผิดทางอาญา และรวมถึงมลทินอื่น ๆ อันเกี่ยวเนื่อง เพื่อความเหมาะสม ชอบธรรมของผู้สมควรได้รับการสถาปนาเป็นสมเด็จพระสังฆราช หรืออีกสถานะหนึ่งก็คือประมุขแห่งสงฆ์ในพระพุทธศาสนา
ขณะเดียวกันเมื่อย้อนกลับมาพิจารณาบทบาทของ พระเมธีธรรมาจารย์ หรือ เจ้าคุณประสาร ก็มีนัยที่ต้องพิจารณาเช่นเดียวกันว่ายังคงสถานะเป็นสงฆ์ผู้ประพฤติชอบในธรรมวินัย ในระดับควรเคารพนับถือหรือไม่ อย่างไร ถ้าพิจารณาจากพฤติกรรมในอดีตที่ผ่านมา
เริ่มจากตัวตนของพระเมธีธรรมาจารย์ ถูกสืบค้นว่ามีนามเดิม คือ ประสาร หนองพร้าว เกิดเมื่อวันที่ 15 ตุลาคม พ.ศ. 2517 บ้านโคกก่อง ตำบลโพนสูง อำเภอปทุมรัตน์ จังหวัดร้อยเอ็ด แต่เพิ่งได้รับพระราชทานสมณศักดิ์เป็นพระราชาคณะชั้นสามัญยก มีราชทินนามตามสัญญาบัตรประกอบพัดยศสมณศักดิ์ว่า "พระเมธีธรรมาจารย์" เมื่อปี 2554
ขณะที่ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา พระเมธีธรรมาจารย์ถูกมองเป็นสงฆ์สายฮาร์ดคอร์ จากบทบาทการเป็นแกนนำปลุกองค์กรสงฆ์ทั่วประเทศ ออกมาแสดงพลังในด้านต่างๆ จนมีการวิพากษ์วิจารณ์ถึงพฤติการณ์ไม่ต่างอะไรกับการเป็นพระสายการเมือง เพราะมีบทบาทการเคลื่อนไหวในยุครัฐบาลนายทักษิณ ชินวัตร และรัฐบาลน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร โดยเฉพาะเคยนำพระสงฆ์ในสหรัฐเข้าพบปะพูดคุย ถ่ายรูปร่วมกับนายทักษิณ ที่โรงแรมแฟร์มอนต์ เมื่อวันที่ 9 มิ.ย. 2556 ไม่นับรวมการเข้าร่วมกิจกรรมทางการเมืองกับคนเสื้อแดง นปช. และพรรคเพื่อไทยในหลายวาระโอกาส
และหลังจากเกิดเหตุการณ์รัฐประหาร 22 พ.ค. 2557 พระเมธีธรรมาจารย์ ยังกลายเป็นไม้เบื่อไม้เมากับทั้ง นายไพบูลย์ นิติตะวัน อดีตสมาชิกสภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) และ หลวงปู่พุทธะอิสระ จากประเด็นว่าด้วยแนวทางการปฏิรูปพระพุทธศาสนา ซึ่ง พระเมธีธรรมาจารย์ ต้องการให้บรรจุพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติในบทบัญญัติรัฐธรรมนูญ และบานปลายมาถึงความขัดแย้งเรื่องการพิจารณาแต่งตั้งพระสังฆราชองค์ใหม่ ผ่านการเคลื่อนไหวกดดันเป็นระยะ ๆ ในนามของ “ศูนย์พิทักษ์พระพุทธศาสนาแห่งประเทศไทย”
กระทั่งเมื่อไม่นานมานี้ พระเมธีธรรมาจารย์ ก็ยังถือเป็นชนวนเริ่มต้นเหตุการณ์การขัดแย้งระหว่างทหารกับพระสงฆ์จำนวนหนึ่ง หลังจากพระสงฆ์เหล่านั้นถูกพระเมธีธรรมาจารย์ ปลุกระดมออกมาชุมนุมพร้อมกันที่พุทธมณฑล จ.นครปฐม ด้วยวัตถุประสงค์เพื่อร่วมกันเรียกร้องให้รัฐบาล เร่งดำเนินการแต่งตั้งพระสังฆราชองค์ใหม่โดยเร็ว
และล่าสุดพระเมธีธรรมาจารย์ เลือกแสดงความเกี้ยวกราด ถึงขั้นประกาศจะเคลื่อนไหวใหญ่ภายในเร็ววันนี้ ถ้า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ไม่มีความชัดเจนเกี่ยวกับการทูลเกล้าฯรายชื่อพระสังฆราช จนทำให้ พล.อ.ประยุทธ์ต้องออกมาสยบกระแสการปลุกระดมที่สุ่มเสี่ยงก่อให้เกิดความไม่สงบขึ้นในบ้านเมือง ด้วยคำพูดแบบนี้ ...
“ตกลงประเทศไทยเป็นรัฐของใคร …. ก็ออกมา กฎหมายเขามีหรือเปล่า คำสั่งคสช. เขาว่าอย่างไร ชุมนุมเกิน 5 คนไดหรือเปล่า อยากเคลื่อนไหวก็ออกมา จับวันนี้ไม่ได้ก็จับพรุ่งนี้ ไม่ว่าจะใครทั้งนั้น ผมไม่ได้พูดแค่ผู้ที่ถูกกล่าวชื่ออย่างเดียว ทั้งหมดนั่นแหละ วันนี้จับไม่ได้ก็พรุ่งนี้ ถ้ายังไม่ได้ก็เป็นมะรืนนี้ อย่างไรก็โดนจับอยู่ดีนั่นแหละ เพราะมันผิดกฎหมาย ผมไม่ปล่อยปะละเลย จะเอาอย่างไรกันอีก จะปล่อยให้มันเละเทะ ปล่อยให้ใครอยากทำอะไรก็ทำอย่างนั้นหรือ มายื่นคำขาดกับผมอย่างนี้ได้หรือ ผมควรจะเป็นคนยื่นคำขาดมากกว่าแต่ผมยังไม่ทำเลย สื่อก็ชอบไปให้เครดิตแบบนี้แล้วจะอยู่กันได้อย่างไร ???....”