นับวันทักษิณยิ่งบีบคั้น!! เมื่อศาลอุทธรณ์ยืนความถูกต้องอสส.ฟ้องยิ่งลักษณ์ผิดจำนำข้าว ระทึกต่อไปพิสูจน์สถานะกก.สรุปค่าเสียหาย2.8แสนล.??

ติดตามรายละเอียด deeps.tnews.co.th

          จากวันนี้เป็นต้นไปต้องถือว่าประเด็นการฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายจากนโยบายจำนำข้าวจะยิ่งสร้างแรงกดดันให้กับเครือข่ายระบอบทักษิณมากขึ้นเรื่อย       ๆ  กับตัวเลขกว่า 2 หมื่นล้านบาทที่กระทรวงพาณิชย์สรุปเรื่องกลับให้พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคสช.พิจารณาสั่งการว่าจะลงนามในคำสั่งเองหรือมอบหมายผู้ใด ในการดำเนินการกับนายบุญทรง เตริยาภิรมย์  อดีตรมว.พาณิชย์และพวก  เป็นกรณีหนึ่ง  กับอีกกรณีหนึ่งคือตัวของน.ส.ยิ่งลักษณ์  ชินวัตร  อดีตนายกรัฐมนตรี  โดยตรง ทั้งคดีความอาญาและความผิดทางแพ่งที่จะมีการนำคำสั่งทางปกครองมาใช้บังคับเช่นเดียวกัน

 

      เนื่องด้วยล่าสุดจากการที่ศาลอาญาได้พิพากษาอุทธรณ์ยืนยกคำฟ้องของน.ส.ยิ่งลักษณ์  ชินวัตร  อดีตนายกรัฐมนตรี  ในการกล่าวหาว่า  นายตระกูล วินิจนัยภาค อดีตอัยการสูงสุด (อสส.) , นายชุติชัย สาขากร รองอัยการสูงสุด (อธิบดีอัยการสำนักงานคดีพิเศษในขณะนั้น) , นายสุรศักดิ์ ตรีรัตน์ตระกูล อธิบดีอัยการสำนักงานการสอบสวน และนายกิตินันท์ ธัชประมุข รองอธิบดีอัยการสำนักงานการสอบสวน ร่วมกันเป็นจำเลยที่ 1 - 4 ในความผิดฐานร่วมกันปฏิบัติหน้าที่มิชอบ ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157 และร่วมกันกระทำผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ในการยุติธรรมตามมาตรา 200   ภายหลังมีความเห็นสั่งฟ้องโจทก์คดีโครงการจำนำข้าว ฐานปฏิบัติหน้าที่มิชอบ ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157 ที่น.ส.ยิ่งลักษณ์ในฐานะโจทก์ไม่ยอมระงับยับยั้งโครงการรับจำนำข้าวจนทำให้รัฐเสียหายกว่า 5 แสนล้านบาท

     จากคดีนี้เดิมที่ศาลอาญาเคยมีคำสั่งยกฟ้องในชั้นตรวจพิจารณาคำฟ้อง เมื่อวันที่ 6 ตุลาคม 2558 เนื่องจากเห็นว่าการกระทำของจำเลยทั้งหมดไม่เป็นความผิด  และยังเป็นการปฏิบัติหน้าที่ตามขั้นตอนและกระบวนการทางกฎหมาย  ไม่ใช่การปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ และไม่มีเจตนากลั่นแกล้งให้โจทก์ต้องรับโทษหนักขึ้น

      และ   ล่าสุดศาลอุทธรณ์มีคำพิพากษายืนยกฟ้องจำเลยทั้งหมด ตามศาลชั้นต้น เนื่องจากเห็นว่าการกระทำดังกล่าวเป็นอำนาจที่สามารถกระทำได้ของอัยการสูงสุดกับพวก และการกระทำของจำเลยเป็นการกระทำถูกต้องตามขั้นตอนของกฎหมาย

 

     

     จากคดีนี้เดิมที่ศาลอาญาเคยมีคำสั่งยกฟ้องในชั้นตรวจพิจารณาคำฟ้อง เมื่อวันที่ 6 ตุลาคม 2558 เนื่องจากเห็นว่าการกระทำของจำเลยทั้งหมดไม่เป็นความผิด  และยังเป็นการปฏิบัติหน้าที่ตามขั้นตอนและกระบวนการทางกฎหมาย  ไม่ใช่การปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ และไม่มีเจตนากลั่นแกล้งให้โจทก์ต้องรับโทษหนักขึ้น

 

     และล่าสุด   ศาลอุทธรณ์มีคำพิพากษายืนยกฟ้องจำเลยทั้งหมด ตามศาลชั้นต้น เนื่องจากเห็นว่าการกระทำดังกล่าวเป็นอำนาจที่สามารถกระทำได้ของอัยการสูงสุดกับพวก และการกระทำของจำเลยเป็นการกระทำถูกต้องตามขั้นตอนของกฎหมาย

 

     ขณะที่คำฟ้องของ  น.ส.ยิ่งลักษณ์และคณะทนายความที่พยายามต่อสู้เรื่องนี้ ซึ่งไม่เกี่ยวข้องกับคดีทางอาญาที่เข้าสู่กระบวนการพิจารณาของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองโดยตรง  แต่เชื่อว่ามุ่งเป้าประสงค์เพื่อลดทอนความชอบธรรมกระบวนการใช้อำนาจการฟ้องเรียกค่าเสียหายจากภาครัฐนี้   ระบุรายละเอียดว่า   เมื่อเดือนสิงหาคม 2557 และเมื่อวันที่ 3 กันยายน 2557 นายตระกูล จำเลยที่ 1 ขณะดำรงตำแหน่งอัยการสูงสุด มีคำสั่งแต่งตั้งนายชุติชัย จำเลยที่ 2 นายสุรศักดิ์ จำเลยที่ 3 และนายกิตินันท์ จำเลยที่ 4 เป็นคณะทำงานพิจารณาสำนวนการไต่สวนของ ป.ป.ช. กรณีการดำเนินคดีต่อโจทก์ในโครงการรับจำนำข้าว และเมื่อวันที่ 19 กุมภาพันธ์ 2558 นายตระกูล จำเลยที่ 1 มีคำสั่งให้จำเลยที่ 2 ถึง 4 เป็นพนักงานอัยการดำเนินคดีที่ได้ฟ้องโจทก์ต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ในการปฏิบัติหน้าที่ของจำเลยทั้งสี่ร่วมกันลักษณะแบ่งหน้าที่กันด้วยการปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด และยังร่วมกันเป็นเจ้าพนักงานในตำแหน่ง พนักงานอัยการกระทำการอย่างใด เพื่อจะแกล้งให้บุคคลใดบุคคลหนึ่งต้องรับโทษ

     ต่อมาในวันที่ 3 กันยายน 2557 นายตระกูล จำเลยที่ 1 มีความเห็นว่าการไต่สวนยังมีข้อไม่สมบูรณ์ใน 4 ประเด็นใหญ่ แต่ปรากฏข้อเท็จจริงในเวลาต่อมาว่า ยังไม่มีการไต่สวนข้อเท็จจริงตามข้อไม่สมบูรณ์ และยังมีข้อถกเถียงเรื่องการนัดประชุมของคณะทำงานร่วมระหว่างอัยการและ ป.ป.ช. แต่ต่อมาวันที่ 23 มกราคม 2558 นายสุรศักดิ์ จำเลยที่ 3 ได้แถลงข่าวว่านายตระกูล จำเลยที่ 1 มีความเห็นสมควรสั่งฟ้องโจทก์ เป็นเวลากะทันหันเพียง 1 ชั่วโมง ก่อนที่สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) จะลงมติถอดถอนโจทก์ น่าจะมีนัยสำคัญว่าเป็นวาระซ่อนเร้น โดยไม่น่าเชื่อว่าจะเป็นเหตุบังเอิญ โดยนายกิตินันท์ จำเลยที่ 4 ในฐานะพนักงานอัยการต้องให้ความสำคัญในข้อไม่สมบูรณ์พอที่จะดำเนินคดีได้ และต้องปฏิบัติหน้าที่โดยอิสระ ถูกต้อง รวดเร็ว และเป็นธรรม จะต้องพิจารณาข้อไม่สมบูรณ์ให้เสร็จสิ้นแล้วจึงมีความเห็น

      การกระทำของนายตระกูล จำเลยที่ 1 ที่มีความเห็นสั่งฟ้องโจทก์ ทั้งที่รู้อยู่แล้วว่าการไต่สวนในข้อไม่สมบูรณ์ยังไม่แล้วเสร็จ นอกจากนี้เมื่อ นายตระกูล จำเลยที่ 1 ยื่นฟ้องโจทก์ต่อศาลฎีกาฯ แล้วยังได้บรรยายฟ้องบางตอนให้ผิดไปจากความจริง การฟ้องคดีตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง พ.ศ. 2542 ให้ยึดรายงาน ป.ป.ช.เป็นหลัก รายงาน ป.ป.ช.ระบุไว้ชัดเจนว่า ยังไม่ปรากฏหลักฐานในชั้นนี้ว่าโจทก์ได้ทำการทุจริต หรือสมยอมให้มีการทุจริต แต่จำเลยทั้งสี่กลับบรรยายฟ้องแตกต่างจากรายงานของ ป.ป.ช.ว่า โจทก์รู้เห็นและรับทราบการทำทุจริต จึงเป็นการแสวงหาผลประโยชน์ที่มิควรได้ การกระทำของจำเลยในฐานะพนักงานอัยการเป็นการกระทำหรือไม่กระทำการใดเพื่อจะแกล้งให้บุคคลหนึ่งต้องรับโทษหนักขึ้น การกระทำของจำเลยทั้งสี่จึงทำให้เกิดความเสียหายแก่โจทก์ จึงได้นำคดีมายื่นฟ้องเพื่อขอให้ศาลพิพากษาลงโทษตามกฎหมาย

     ประเด็นสำคัญคือ สำหรับคดีนี้เมื่อศาลอาญาและศาลอุทธรณ์มีคำพิพากษาเห็นพ้องกันให้ยืนยกฟ้องทั้ง 2 ศาลแล้ว จะสามารถยื่นฎีกาคดีได้ต่อเมื่อผู้พิพากษาที่พิจารณาคดีได้ทำความเห็นแย้ง หรือมีการรับรองให้ฎีกาในสาระสำคัญที่เห็นควรให้คดีขึ้นสู่ศาลสูงวินิจฉัย หรือให้อัยการสูงสุดเป็นผู้รับรองการยื่นฎีกา ซึ่งเท่ากับว่านับจากวันนี้โอกาสในการต่อสู้เพื่อเรียกร้องความชอบธรรมการดำเนินนโยบายรับจำนำข้าวของน.ส.ยิ่งลักษณ์จากกระแสสังคมจึงมีน้อยลงทุกขณะ  

     ในทางตรงข้ามตัว  น .ส.ยิ่งลักษณ์  เองจะต้องเข้าสู่กระบวนการต่อสู้คดีอาญา  จากข้อกล่าวหาปฏิบัติหน้าที่มิชอบไม่ยับยั้งโครงการจำนำข้าวเต็มรูปแบบ   ภายหลังจากศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ได้ไต่สวนพยานอัยการ ฝ่ายโจทก์ปากสุดท้ายเสร็จสิ้นไปแล้วเมื่อวันที่ 24 มิ.ย.ที่ผ่านมา และศาลฎีกาฯ นัดไต่สวนพยานจำเลยนัดแรกในวันที่ 5 สค.นี้ เวลา 09.30 น. ซึ่งตามบัญชีพยาน น.ส.ยิ่งลักษณ์ จำเลย จะเข้าไต่สวนเป็นปากแรกและถ้อยบันทึกของคำให้การของน.ส.ยิ่งลักษณ์ก็จะเป็นอีกหนึ่งประวัติศาสตร์ทางการเมือง นับเนื่องจากกรณีของนายทักษิณ ชินวัตรผู้เป็นพี่ชาย ซึ่งเคยต้องโทษจำคุกในคดีทุจริตจัดซื้อที่ดินรัชดาภิเษก  และอีกบางคดีที่มีการคำพิพากษาแล้ว...

 

      คู่ขนานกันไปกับคดีอาญา   การต่อสู้ของน.ส.ยิ่งลักษณ์  ตามคดีหมายเลขดำ ที่ อท.44/2559    ในประเด็นการฟ้องร้องกล่าวหา  นายจิรชัย  มูลทองโร่ย รองปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี ในฐานะประธานกรรมการสอบข้อเท็จจริงความผิดทางละเมิดโครงการรับจำนำข้าว เป็นจำเลยในความผิดฐานละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157   ก็เป็นอีกประเด็นหนึ่งที่ต้องจับตาอย่างใกล้ชิดเช่นกัน !!!

       ด้วยเหตุว่าทีมกฎหมายของน.ส.ยิ่งลักษณ์   อ้างว่านายจิรชัยได้มีความเห็นให้ น.ส.ยิ่งลักษณ์รับผิดต่อความเสียหายที่เกิดขึ้นจากโครงการรับจำนำข้าวเป็นเงินจำนวน 2.8 แสนล้าน   โดยมิชอบ ขาดความเที่ยงธรรม ไม่เป็นไปตามกฎหมายและระเบียบของคณะกรรมการฯ ชุดดังกล่าว  ไม่ไต่สวนพยานบุคคล ไม่แสวงหาข้อเท็จจริง ไม่ตรวจสอบสินค้าคงเหลือให้ครบถ้วน และไม่สอบพยานบุคคลที่เกี่ยวข้อง อีกทั้งไม่ได้นำราคาข้าวสารที่คงเหลือในสต๊อกมาคำนวณหักออกจากความเสียหาย ก่อนสรุปปิดบัญชี
       
     นอกจากนี้ คณะกรรมการฯ ชุดดังกล่าวยังไม่ได้สรุปว่าความเสียหายที่เกิดขึ้นนั้นเป็นความเสียหายที่ เกิดจากหน่วยงานใด แต่กลับกำหนดความเสียหายและกล่าวหากับรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ว่าโครงการรับจำนำข้าวแล้วทำให้เกิดความเสียหาย ทั้งที่โครงการดังกล่าวเป็นเรื่องของนโยบายที่เน้นช่วยเหลือเกษตร หากมีความเสียหายก็ไม่ได้เกิดจากการกระทำของ น.ส.ยิ่งลักษณ์โดยตรง   ซึ่งก่อนหน้านี้ศาลอาญามีคำพิพากษายกฟ้องในชั้นตรวจคำฟ้อง  แต่ปลายเดือนมิ.ย.ที่ผ่านมาทีมกฎหมายของน.ส.ยิ่งลักษณ์ได้ยื่นอุทธรณ์   โต้แย้งคำพิพากษาของศาลอาญา เฉกเช่นเดียวกับกรณีการฟ้องร้องคณะทำงานอัยการสูงสุด     และหากศาลอาญามีคำวินิจฉัยอุทธรณ์ยืนยกฟ้องนายจิรชัย     กระบวนการพิจารณาใช้คำสั่งทางปกครองบังคับให้น.ส.ยิ่งลักษณ์ต้องชดใช้ความเสียหายการดำเนินนโยบายรับจำนำข้าวจะยิ่งชอบธรรมที่สุด  ภายใต้การทำหน้าที่ปกป้องผลประโยชน์แผ่นดินของรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์  และคณะคสช.    !!!!