- 13 ก.ค. 2559
ติดตามรายละเอียด deeps.tnews.co.th
จากวันนี้เป็นต้นไปต้องถือว่าประเด็นการฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายจากนโยบายจำนำข้าวจะยิ่งสร้างแรงกดดันให้กับเครือข่ายระบอบทักษิณมากขึ้นเรื่อย ๆ กับตัวเลขกว่า 2 หมื่นล้านบาทที่กระทรวงพาณิชย์สรุปเรื่องกลับให้พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคสช.พิจารณาสั่งการว่าจะลงนามในคำสั่งเองหรือมอบหมายผู้ใด ในการดำเนินการกับนายบุญทรง เตริยาภิรมย์ อดีตรมว.พาณิชย์และพวก เป็นกรณีหนึ่ง กับอีกกรณีหนึ่งคือตัวของน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี โดยตรง ทั้งคดีความอาญาและความผิดทางแพ่งที่จะมีการนำคำสั่งทางปกครองมาใช้บังคับเช่นเดียวกัน
เนื่องด้วยล่าสุดจากการที่ศาลอาญาได้พิพากษาอุทธรณ์ยืนยกคำฟ้องของน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ในการกล่าวหาว่า นายตระกูล วินิจนัยภาค อดีตอัยการสูงสุด (อสส.) , นายชุติชัย สาขากร รองอัยการสูงสุด (อธิบดีอัยการสำนักงานคดีพิเศษในขณะนั้น) , นายสุรศักดิ์ ตรีรัตน์ตระกูล อธิบดีอัยการสำนักงานการสอบสวน และนายกิตินันท์ ธัชประมุข รองอธิบดีอัยการสำนักงานการสอบสวน ร่วมกันเป็นจำเลยที่ 1 - 4 ในความผิดฐานร่วมกันปฏิบัติหน้าที่มิชอบ ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157 และร่วมกันกระทำผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ในการยุติธรรมตามมาตรา 200 ภายหลังมีความเห็นสั่งฟ้องโจทก์คดีโครงการจำนำข้าว ฐานปฏิบัติหน้าที่มิชอบ ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157 ที่น.ส.ยิ่งลักษณ์ในฐานะโจทก์ไม่ยอมระงับยับยั้งโครงการรับจำนำข้าวจนทำให้รัฐเสียหายกว่า 5 แสนล้านบาท
จากคดีนี้เดิมที่ศาลอาญาเคยมีคำสั่งยกฟ้องในชั้นตรวจพิจารณาคำฟ้อง เมื่อวันที่ 6 ตุลาคม 2558 เนื่องจากเห็นว่าการกระทำของจำเลยทั้งหมดไม่เป็นความผิด และยังเป็นการปฏิบัติหน้าที่ตามขั้นตอนและกระบวนการทางกฎหมาย ไม่ใช่การปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ และไม่มีเจตนากลั่นแกล้งให้โจทก์ต้องรับโทษหนักขึ้น
และ ล่าสุดศาลอุทธรณ์มีคำพิพากษายืนยกฟ้องจำเลยทั้งหมด ตามศาลชั้นต้น เนื่องจากเห็นว่าการกระทำดังกล่าวเป็นอำนาจที่สามารถกระทำได้ของอัยการสูงสุดกับพวก และการกระทำของจำเลยเป็นการกระทำถูกต้องตามขั้นตอนของกฎหมาย
จากคดีนี้เดิมที่ศาลอาญาเคยมีคำสั่งยกฟ้องในชั้นตรวจพิจารณาคำฟ้อง เมื่อวันที่ 6 ตุลาคม 2558 เนื่องจากเห็นว่าการกระทำของจำเลยทั้งหมดไม่เป็นความผิด และยังเป็นการปฏิบัติหน้าที่ตามขั้นตอนและกระบวนการทางกฎหมาย ไม่ใช่การปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ และไม่มีเจตนากลั่นแกล้งให้โจทก์ต้องรับโทษหนักขึ้น
และล่าสุด ศาลอุทธรณ์มีคำพิพากษายืนยกฟ้องจำเลยทั้งหมด ตามศาลชั้นต้น เนื่องจากเห็นว่าการกระทำดังกล่าวเป็นอำนาจที่สามารถกระทำได้ของอัยการสูงสุดกับพวก และการกระทำของจำเลยเป็นการกระทำถูกต้องตามขั้นตอนของกฎหมาย
ขณะที่คำฟ้องของ น.ส.ยิ่งลักษณ์และคณะทนายความที่พยายามต่อสู้เรื่องนี้ ซึ่งไม่เกี่ยวข้องกับคดีทางอาญาที่เข้าสู่กระบวนการพิจารณาของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองโดยตรง แต่เชื่อว่ามุ่งเป้าประสงค์เพื่อลดทอนความชอบธรรมกระบวนการใช้อำนาจการฟ้องเรียกค่าเสียหายจากภาครัฐนี้ ระบุรายละเอียดว่า เมื่อเดือนสิงหาคม 2557 และเมื่อวันที่ 3 กันยายน 2557 นายตระกูล จำเลยที่ 1 ขณะดำรงตำแหน่งอัยการสูงสุด มีคำสั่งแต่งตั้งนายชุติชัย จำเลยที่ 2 นายสุรศักดิ์ จำเลยที่ 3 และนายกิตินันท์ จำเลยที่ 4 เป็นคณะทำงานพิจารณาสำนวนการไต่สวนของ ป.ป.ช. กรณีการดำเนินคดีต่อโจทก์ในโครงการรับจำนำข้าว และเมื่อวันที่ 19 กุมภาพันธ์ 2558 นายตระกูล จำเลยที่ 1 มีคำสั่งให้จำเลยที่ 2 ถึง 4 เป็นพนักงานอัยการดำเนินคดีที่ได้ฟ้องโจทก์ต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ในการปฏิบัติหน้าที่ของจำเลยทั้งสี่ร่วมกันลักษณะแบ่งหน้าที่กันด้วยการปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด และยังร่วมกันเป็นเจ้าพนักงานในตำแหน่ง พนักงานอัยการกระทำการอย่างใด เพื่อจะแกล้งให้บุคคลใดบุคคลหนึ่งต้องรับโทษ
ต่อมาในวันที่ 3 กันยายน 2557 นายตระกูล จำเลยที่ 1 มีความเห็นว่าการไต่สวนยังมีข้อไม่สมบูรณ์ใน 4 ประเด็นใหญ่ แต่ปรากฏข้อเท็จจริงในเวลาต่อมาว่า ยังไม่มีการไต่สวนข้อเท็จจริงตามข้อไม่สมบูรณ์ และยังมีข้อถกเถียงเรื่องการนัดประชุมของคณะทำงานร่วมระหว่างอัยการและ ป.ป.ช. แต่ต่อมาวันที่ 23 มกราคม 2558 นายสุรศักดิ์ จำเลยที่ 3 ได้แถลงข่าวว่านายตระกูล จำเลยที่ 1 มีความเห็นสมควรสั่งฟ้องโจทก์ เป็นเวลากะทันหันเพียง 1 ชั่วโมง ก่อนที่สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) จะลงมติถอดถอนโจทก์ น่าจะมีนัยสำคัญว่าเป็นวาระซ่อนเร้น โดยไม่น่าเชื่อว่าจะเป็นเหตุบังเอิญ โดยนายกิตินันท์ จำเลยที่ 4 ในฐานะพนักงานอัยการต้องให้ความสำคัญในข้อไม่สมบูรณ์พอที่จะดำเนินคดีได้ และต้องปฏิบัติหน้าที่โดยอิสระ ถูกต้อง รวดเร็ว และเป็นธรรม จะต้องพิจารณาข้อไม่สมบูรณ์ให้เสร็จสิ้นแล้วจึงมีความเห็น
การกระทำของนายตระกูล จำเลยที่ 1 ที่มีความเห็นสั่งฟ้องโจทก์ ทั้งที่รู้อยู่แล้วว่าการไต่สวนในข้อไม่สมบูรณ์ยังไม่แล้วเสร็จ นอกจากนี้เมื่อ นายตระกูล จำเลยที่ 1 ยื่นฟ้องโจทก์ต่อศาลฎีกาฯ แล้วยังได้บรรยายฟ้องบางตอนให้ผิดไปจากความจริง การฟ้องคดีตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง พ.ศ. 2542 ให้ยึดรายงาน ป.ป.ช.เป็นหลัก รายงาน ป.ป.ช.ระบุไว้ชัดเจนว่า ยังไม่ปรากฏหลักฐานในชั้นนี้ว่าโจทก์ได้ทำการทุจริต หรือสมยอมให้มีการทุจริต แต่จำเลยทั้งสี่กลับบรรยายฟ้องแตกต่างจากรายงานของ ป.ป.ช.ว่า โจทก์รู้เห็นและรับทราบการทำทุจริต จึงเป็นการแสวงหาผลประโยชน์ที่มิควรได้ การกระทำของจำเลยในฐานะพนักงานอัยการเป็นการกระทำหรือไม่กระทำการใดเพื่อจะแกล้งให้บุคคลหนึ่งต้องรับโทษหนักขึ้น การกระทำของจำเลยทั้งสี่จึงทำให้เกิดความเสียหายแก่โจทก์ จึงได้นำคดีมายื่นฟ้องเพื่อขอให้ศาลพิพากษาลงโทษตามกฎหมาย
ประเด็นสำคัญคือ สำหรับคดีนี้เมื่อศาลอาญาและศาลอุทธรณ์มีคำพิพากษาเห็นพ้องกันให้ยืนยกฟ้องทั้ง 2 ศาลแล้ว จะสามารถยื่นฎีกาคดีได้ต่อเมื่อผู้พิพากษาที่พิจารณาคดีได้ทำความเห็นแย้ง หรือมีการรับรองให้ฎีกาในสาระสำคัญที่เห็นควรให้คดีขึ้นสู่ศาลสูงวินิจฉัย หรือให้อัยการสูงสุดเป็นผู้รับรองการยื่นฎีกา ซึ่งเท่ากับว่านับจากวันนี้โอกาสในการต่อสู้เพื่อเรียกร้องความชอบธรรมการดำเนินนโยบายรับจำนำข้าวของน.ส.ยิ่งลักษณ์จากกระแสสังคมจึงมีน้อยลงทุกขณะ
ในทางตรงข้ามตัว น .ส.ยิ่งลักษณ์ เองจะต้องเข้าสู่กระบวนการต่อสู้คดีอาญา จากข้อกล่าวหาปฏิบัติหน้าที่มิชอบไม่ยับยั้งโครงการจำนำข้าวเต็มรูปแบบ ภายหลังจากศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ได้ไต่สวนพยานอัยการ ฝ่ายโจทก์ปากสุดท้ายเสร็จสิ้นไปแล้วเมื่อวันที่ 24 มิ.ย.ที่ผ่านมา และศาลฎีกาฯ นัดไต่สวนพยานจำเลยนัดแรกในวันที่ 5 สค.นี้ เวลา 09.30 น. ซึ่งตามบัญชีพยาน น.ส.ยิ่งลักษณ์ จำเลย จะเข้าไต่สวนเป็นปากแรกและถ้อยบันทึกของคำให้การของน.ส.ยิ่งลักษณ์ก็จะเป็นอีกหนึ่งประวัติศาสตร์ทางการเมือง นับเนื่องจากกรณีของนายทักษิณ ชินวัตรผู้เป็นพี่ชาย ซึ่งเคยต้องโทษจำคุกในคดีทุจริตจัดซื้อที่ดินรัชดาภิเษก และอีกบางคดีที่มีการคำพิพากษาแล้ว...
คู่ขนานกันไปกับคดีอาญา การต่อสู้ของน.ส.ยิ่งลักษณ์ ตามคดีหมายเลขดำ ที่ อท.44/2559 ในประเด็นการฟ้องร้องกล่าวหา นายจิรชัย มูลทองโร่ย รองปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี ในฐานะประธานกรรมการสอบข้อเท็จจริงความผิดทางละเมิดโครงการรับจำนำข้าว เป็นจำเลยในความผิดฐานละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 ก็เป็นอีกประเด็นหนึ่งที่ต้องจับตาอย่างใกล้ชิดเช่นกัน !!!
ด้วยเหตุว่าทีมกฎหมายของน.ส.ยิ่งลักษณ์ อ้างว่านายจิรชัยได้มีความเห็นให้ น.ส.ยิ่งลักษณ์รับผิดต่อความเสียหายที่เกิดขึ้นจากโครงการรับจำนำข้าวเป็นเงินจำนวน 2.8 แสนล้าน โดยมิชอบ ขาดความเที่ยงธรรม ไม่เป็นไปตามกฎหมายและระเบียบของคณะกรรมการฯ ชุดดังกล่าว ไม่ไต่สวนพยานบุคคล ไม่แสวงหาข้อเท็จจริง ไม่ตรวจสอบสินค้าคงเหลือให้ครบถ้วน และไม่สอบพยานบุคคลที่เกี่ยวข้อง อีกทั้งไม่ได้นำราคาข้าวสารที่คงเหลือในสต๊อกมาคำนวณหักออกจากความเสียหาย ก่อนสรุปปิดบัญชี
นอกจากนี้ คณะกรรมการฯ ชุดดังกล่าวยังไม่ได้สรุปว่าความเสียหายที่เกิดขึ้นนั้นเป็นความเสียหายที่ เกิดจากหน่วยงานใด แต่กลับกำหนดความเสียหายและกล่าวหากับรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ว่าโครงการรับจำนำข้าวแล้วทำให้เกิดความเสียหาย ทั้งที่โครงการดังกล่าวเป็นเรื่องของนโยบายที่เน้นช่วยเหลือเกษตร หากมีความเสียหายก็ไม่ได้เกิดจากการกระทำของ น.ส.ยิ่งลักษณ์โดยตรง ซึ่งก่อนหน้านี้ศาลอาญามีคำพิพากษายกฟ้องในชั้นตรวจคำฟ้อง แต่ปลายเดือนมิ.ย.ที่ผ่านมาทีมกฎหมายของน.ส.ยิ่งลักษณ์ได้ยื่นอุทธรณ์ โต้แย้งคำพิพากษาของศาลอาญา เฉกเช่นเดียวกับกรณีการฟ้องร้องคณะทำงานอัยการสูงสุด และหากศาลอาญามีคำวินิจฉัยอุทธรณ์ยืนยกฟ้องนายจิรชัย กระบวนการพิจารณาใช้คำสั่งทางปกครองบังคับให้น.ส.ยิ่งลักษณ์ต้องชดใช้ความเสียหายการดำเนินนโยบายรับจำนำข้าวจะยิ่งชอบธรรมที่สุด ภายใต้การทำหน้าที่ปกป้องผลประโยชน์แผ่นดินของรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ และคณะคสช. !!!!