ยังไงก็ต้องเอาเงินคืนแผ่นดิน!!! อัยการชี้ช่องทวงคืนภาษีขายหุ้นชินฯ  สุดท้ายความซวยอาจย้อนกลับไปที่ "เบญจาและพวก" ???

ติดตามรายละเอียด deeps.tnews.co.th

      สืบเนื่องจากคณะผู้พิพากษาศาลอาญา   แผนกคดีทุจริตและประพฤติมิชอบของเจ้าหน้าที่รัฐ    มีคำพิพากษาให้จำคุกนางเบญจา หลุยเจริญ อดีต รมช.คลัง สมัยรัฐบาล   น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร และ  อดีตรองอธิบดีกรมสรรพากร , น.ส.จำรัส แหยมสร้อยทอง อดีต ผอ.สำนักกฎหมาย,  น.ส.โมรีรัตน์ บุญญาศิริ อดีต ผอ.สำนักกฎหมาย, นายกริช วิปุลานุสาสน์ ผอ.สำนักกฎหมาย กรมสรรพากร  มีความผิดฐานปฏิบัติหรือละเว้นปฏิบัติหน้าที่มิชอบ ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157 และ 83 ให้จำคุกคนละ 3 ปี   ส่วนน.ส.ปราณี เวชพฤกษ์พิทักษ์ คนใกล้ชิด เลขานุการส่วนตัว คุณหญิงพจมาน ณ  ป้อมเพชร  อดีตภริยานายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี  ในฐานะผู้สนับสนุนการกระทำผิด ให้ลงโทษจำคุก 2 ปี  กรณีที่ไม่คิดคำนวณประโยชน์ที่   นายพานทองแท้ และ น.ส.พินทองทา ชินวัตร บุตรของ นายทักษิณ ได้รับจากการซื้อขายหุ้นบริษัท ชิน คอร์ปอเรชั่น จำกัด เมื่อปี 2549 เพื่อเสียภาษีอากร

 

     ล่าสุดคณะทำงานอัยการที่รับผิดชอบฟ้องร้องคดี น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ปฏิบัติหน้าที่ หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต ละเลยไม่ยับยั้งโครงการรับจำนำข้าว ส่งผลรัฐเสียหายกว่า 5 แสนล้านบาท แสดงความเห็นกับ  "สำนักข่าวอิศรา www.isranews.org"   ว่า ต่อจากนี้คือบทบาทของสรรพากร  ซึ่งมีหน้าที่ต้องตั้งคณะกรรมการขึ้นมาตรวจสอบข้อเท็จจริง เพื่อให้เกิดความกระจ่างชัดเจน ว่า บุคคลใดบ้างที่จะต้องมีส่วนรับผิดชอบชดใช้ภาษีที่รัฐต้องสูญเสียไปจากกรณีนี้ ซึ่งสามารถใช้อำนาจตาม พ.ร.บ.วิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ.2539 ออกคำสั่งให้ข้าราชการและเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องชดใช้ค่าเสียหายที่เกิดขึ้น เช่นเดียวกับในกรณีโครงการรับจำนำข้าวได้

     ทั้งนี้มีการประเมินว่าภาษีเงินได้ที่นายพานทองแท้ และ นางพิณทองแท้ ต้องจ่ายก่อนหน้านี้   คือ ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาที่ได้กำไรจากการขายหุ้นนอกตลาด เนื่องจากครอบครัวชินวัตร  ได้ขายหุ้นชินคอร์ปให้กับกลุ่มเทมาเส็กในราคาหุ้นละ 49.25 บาท ขณะที่บุุคคลทั้งสองซื้อมาจากแอมเพิลริชในราคาหุ้นละ 1 บาท จำนวน 329.2 ล้านหุ้น เท่ากับมีกำไรเป็นผลตอบแทนหุ้นละ 48.25 บาท หรือคิดเป็นกำไรรวมทั้งสิ้น 15,883.9 ล้านบาท

 

      ขณะที่อัตราภาษีที่ต้องเสียในส่วนที่เกิน 4 ล้านบาท ต้องจ่ายในอัตรา 37% เมื่อคำนวณโดยประมาณ ต้องจ่ายภาษีประมาณ 5,800 ล้านบาท ยังไม่รวมเบี้ยปรับเงินเพิ่มเป็นระยะเวลาประมาณ 10 ปี

 

    

      และในกรณีหากกรมสรรพากรไม่สามารถประเมินภาษีคืนได้จากนายพานทองแท้ และนางพิณทองทาได้  ด้วยข้อจำกัดทางกฎหมายเนื่องจากระยะเวลาผ่านมาเกิน 5 ปี   เหมือนกรณีคดีเลี่ยงภาษี 738 ล้านบาท รับโอนหุ้นชิน 4.5 ล้านหุ้น เมื่อวันที่ 7 พ.ย. 2541   ของนายบรรณพจน์ ดามาพงษ์ พี่ชายบุญธรรม ของคุณหญิงพจมาน  ซึ่งแม้ศาลอุทธรณ์จะพิพากษาเป็นที่สุดว่า นายบรรณพจน์มีความผิดในการเลี่ยงภาษีโอนหุ้นเมื่อปี 2541 แต่สรรพากรไม่สามารถเก็บได้เพราะเกิน 5 ปี อย่างไรก็ตามกรณีที่เกิดขึ้นกับเคสของนายพานทองแท้และนางพิณทองทา   อาจมีความจำเป็นต้องเรียกประเมินเก็บจากเจ้าหน้าที่กรมสรรพากร  ที่ไม่ยอมประเมินเงินภาษีของนายพานทองแท้และนางพิณทองทาในลักษณะของการต้องชดใช้แทนความผิดแทน  

 

     ก่อนหน้านั้น  นางจิตรมณี สุวรรณพูล รองอธิบดีกรมสรรพากร ในฐานะโฆษกกรมสรรพากร  (ในขณะนั้น)  ได้ออกมาชี้แจงว่า  เนื่องจากศาลภาษีกลางได้มีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 29 ธ.ค. 2553 ว่าทั้งสองคนไม่ใช่เจ้าของหุ้นชินคอร์ปตัวจริง  เพราะศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรง ตำแหน่งทางการเมืองพิพากษาว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตรและคุณหญิงพจมาน ณ ป้อมเพชร  เป็นเจ้าของหุ้นที่แท้จริง การที่กรมสรรพากรจะเก็บภาษีหุ้นจากนายพานทองแท้ และ น.ส.พินทองทาเป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้อง ดังนั้น กรมสรรพากรจึงได้คืนเงินสดประมาณ 200 ล้านบาทและทรัพย์สินที่เป็นที่ดินและหลักทรัพย์อีกประมาณ 1,000 ล้านบาท ที่เคยอายัดไว้คืนให้กับนายพานทองแท้ และ น.ส.พินทองทาไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว  อย่างไรก็ตามกรณีดังกล่าวเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์การทำหน้าที่ของกรมสรรพากรในขณะนั้นอย่างมาก เพราะไม่พบว่ากรมสรรพากรมีการเรียกเก็บเงินภาษีจากนายทักษิณและคุณหญิงพจมาน แทนนายพานทองแท้และน.ส.พิณทองทาแต่อย่างใด

    

      ที่สำคัญก็คือแม้แต่ตัว  นายสาธิต รังคสิริ อธิบดีกรมสรรพากร ในขณะนั้น ก็อ้างว่า หลังจากที่คณะกรรมการวินิจฉัยภาษีอากร ได้สรุปผลการวินิจฉัย กรณีการซื้อ-ขายหุ้นชินคอร์ปฯ ว่า เจ้าของหุ้นชินคอร์ปฯ ที่แท้จริง คือ พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ส่วนนายพานทองแท้ และ น.ส.พินทองทา ชินวัตร ไม่ใช่เจ้าของหุ้นชินคอร์ปฯ ซึ่งการดำเนินการในลักษณะดังกล่าว เข้าข่ายปกปิดบัญชีทรัพย์สินที่จะต้องแสดงต่อสำนักงาน ป.ป.ช. ซึ่งศาลฎีกาฯ ได้มีคำสั่งให้ยึดทรัพย์สิน พ.ต.ท.ทักษิณ ให้ตกเป็นของแผ่นดินไปหมดแล้ว จากนั้นเมื่อ พ.ต.ท.ทักษิณ ซึ่งเป็นเจ้าของหุ้นตัวจริงนำหุ้นชินคอร์ปฯ ไปขายให้กับกองทุนเทมาเสกผ่านตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ก็จะได้รับยกเว้นภาษีตามกฏกระทรวงฉบับที่ 126

 

      “เรื่องภาษีหุ้นชินคอร์ปฯ ตอนนี้ถือว่าจบแล้ว ต่อจากนี้ไป กรมสรรพากรจะไม่มีการประเมินภาษีคนในตระกูลชินวิตรอีก เนื่องจากผลการตัดสินของคณะกรรมการวินิจฉัยภาษีอากรถือเป็นที่สิ้นสุด ซึ่งคณะกรรมการฯ ก็มีมติเป็นเอกฉันท์ ยืนตามคำพิพากษาของศาลทั้ง 2 ศาล ส่วนเรื่องการประเมินภาษี พ.ต.ท.ทักษิณ คณะกรรมการฯ มอบหมายให้เป็นหน้าที่ของกรมสรรพากรเป็นผู้วินิจฉัย เมื่อสรรพากรพิจารณาแล้วว่าไม่ต้องเสียภาษี ตรงนี้ก็ถือเป็นที่สิ้นสุดด้วยเช่นกัน เพราะกรมสรรพากรทำตามผลการวินิจฉัยของคณะกรรมการฯ”

 

      (ข้อมูลประกอบ : เอาเงินแผ่นดินคืนมา!!! "สัก กอแสงเรือง" ยึดคำพิพากษา จี้สรรพากรเร่งทวง "โอ๊ค-เอม" ชดใช้จ่ายภาษีหุ้นชินฯโดยเร็ว !!?!!   http://deeps.tnews.co.th/contents/198091/ )