17 สิงหา ครบรอบ 1 ปี "ระเบิดแยกราชประสงค์" บทเรียนแห่งโศกนาฏกรรม ที่คนไทยไม่มีวันลืม!!

เชื่อว่าเป็นอีกหนึ่งเหตุการณ์ที่คนไทยทุกคนไม่มีความลืม ในระยะเวลา 1ปี กับโศกนาฏกรรมครั้งใหญ่ เมื่อค่ำวันที่ 17 สิงหาคม 2558 เหตุระเบิดศาลท้าวมหาพรหม หน้าโรงแรมแกรนด์ ไฮแอท เอราวัณ แยกราชประสงค์ ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิต 20 ราย บาดเจ็บ 123 คน มีทั้งชาวไทย จีน ฮ่องกง มาเลเซีย สิงคโปร์ ญี่ปุ่น อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ โอมาน และมัลดีฟส์

รุ่งขึ้น วันที่ 18 สิงหาคม 2558 เจ้าหน้าที่พบระเบิดอีกลูกบริเวณท่าเรือสาทร แต่โชคดีที่ระเบิดลูกนี้ตกลงในน้ำบริเวณโป๊ะเรือ จึงไม่เกิดความเสียหาย ไม่มีผู้เสียชีวิต

หลังเกิดเหตุสะเทือนขวัญ สำนักงานตำรวจแห่งชาติและหน่วยงานด้านความมั่นคง เร่งติดตามแกะรอยคนร้าย ที่ลงมืออย่างอุกอาจ ก่อเหตุใจกลางกรุง ย่านธุรกิจสำคัญ

 

โดยหลักฐานสำคัญในที่เกิดเหตุ พบกล้องวงจรปิด จับภาพชายต้องสงสัย1ราย คล้ายแขกขาว ผมหยักศก สวมเสื้อยืดสีเหลือง กางเกงขาสั้นสีฟ้า ใส่แว่นตาสีเหลือง สวมผ้ารัดข้อมือสีเหลือง 2 ข้าง รองเท้าผ้าใบ สะพายกระเป๋าเป้ นั่งรถสามล้อเครื่องมาลงบริเวณหน้าโรงแรมแกรนด์ ไฮแอท เอราวัณ เดินมาบริเวณที่เกิดเหตุ จากนั้นเดินเข้าไปบริเวณจุดเกิดเหตุ บริเวณม้าหินริมรั้วด้านในศาลพระพรหม จากนั้นได้วางกระเป๋าเป้ แล้วเดินหลบหนีไป ไม่นานนักก็เกิดระเบิดขึ้น

ชุดสืบสวนแกะรอยพยานหลักฐาน กระทั่งพบความเชื่อมโยงจุดเก็บชิ้นส่วนประกอบระเบิด วันที่ 29 สิงหาคม 2558 เจ้าหน้าที่ตำรวจเข้าปิดล้อมพูลอนันต์ อพาร์ตเมนต์ ซอยเชื่อมสัมพันธ์ 11 เขตหนองจอก คุมตัว นายอาเด็ม คาราดัก หรือบิลา เติร์ก ชาวตุรกี พร้อมตรวจยึดอุปกรณ์และวัตถุที่ใช้สำหรับประกอบระเบิดจำนวนมาก ที่สำคัญเป็นชนิดเดียวกับหลักฐานที่พบจุดเกิดเหตุระเบิดศาลท้าวมหาพรหม

แม้ว่าในตอนแรก นายอาเด็มถูกคุมตัว ในคดีครอบครองวัตถุประกอบระเบิด แต่ต่อมาจากการสืบสวนขยายผล ประกอบกับผลพิสูจน์หลักฐานทางนิติวิทยาศาสตร์ พบว่านายอาเด็มเป็นคนเดียวกับชายเสื้อเหลือง ที่ก่อเหตุวางระเบิดศาลท้าวมหาพรหม

โดยพล.ต.อ. สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ(ผบ.ตร.)ในขณะนั้น เปิดเผยว่า ชุดสืบสวนพบหลักฐานหลายอย่างที่ทำให้นายอาเดมจำนน โดยเฉพาะเสื้อสีเทาที่พบในห้องพัก จากการตรวจสอบพบว่าหลังวางระเบิด นายอาเด็ม เปลี่ยนจากเสื้อเหลืองที่สวมใส่ขณะก่อเหตุ บริเวณห้องน้ำสวนลุมพินี มาเป็นเสื้อสีเทาตัวนี้

และในเวลาไล่เลี่ยกัน เมื่อวันที่ 1 กันยายน 2558 เจ้าหน้าที่ตำรวจจับกุม นายยูซุฟู มีไรลี ได้ที่บริเวณชายแดนจ.สระแก้ว และจากการสืบสวนสอบสวนพบว่า นายยูซุฟู เป็นคนนำกระเป๋าเป้ใส่ระเบิดมาให้นายอาเด็ม ไปก่อเหตุ

นอกจากนี้เจ้าหน้าที่ตำรวจ ได้ขออนุมัติหมายจับผู้ต้องหาร่วมก่อเหตุกว่า10ราย อาทิ ชายเสื้อฟ้า ผู้ต้องสงสัยวางระเบิดท่าเรือสาทร น.ส.วรรณา สวนสัน หรือไมซาเราะห์ นายเอ็มระห์ ดาวูโตกลู สามีชาวตุรกีของน.ส.วรรณา ชายไม่ปรากฏสัญชาติ ผู้พักอาศัยในห้องพัก ไมมูณา การ์เด้นโฮม ในเขตมีนบุรี นายอาลิ โจลัน สัญชาติตุรกี นายอาฮ์เม็ท โบซองแลน ชายชาวตุรกีไม่ทราบชื่อ นายอับดุลเลาะห์ อับดุลเลาะห์มาน ชายต่างชาติไม่ทราบชื่อ ที่กล้องวงจรปิดของห้างสรรพสินค้าในพื้นที่ใกล้อพาร์ตเมนต์ย่านหนองจอกจับภาพได้ นายอับดุล ดาวาบ สัญชาติปากีสถาน นายยงยุทธ พบแก้ว หรืออ๊อด ประยูรวงศ์รวมถึง นายอาบูดูซาตาร์ อบูดูเระห์มาน หรือ อิซาน ผู้บงการวางระเบิด

โดยในส่วนของนายอาเด็ม และนายยูซุฟู ผู้ต้องหาที่ถูกจับกุมได้นั้น พนักงานอัยการยื่นฟ้องเป็นจำเลย ต่อศาลทหาร ในข้อหา ร่วมกันมีวัตถุระเบิดที่นายทะเบียนไม่สามารถออกใบอนุญาตให้ได้ไว้ในครอบครอง ใช้วัตถุระเบิดในการกระทำผิดฐานฆ่าผู้อื่น และอื่นๆรวม10ข้อหา เมื่อวันที่ 24 พฤศจิกายน 2558 โดยคดีอยู่ระหว่างสืบพยาน

ส่วนมูลเหตุจูงใจการก่อเหตุ พล.ต.อ.สมยศ ปฏิเสธว่า ไม่ได้เชื่อมโยงกับชาวอุยกูร์ ไม่ใช่การก่อการร้ายข้ามชาติ แต่น่าจะมาจากเรื่องความแค้นส่วนตัว

“จากการทำงานของเจ้าหน้าที่คาดว่าสาเหตุของการก่อเหตุในครั้งนี้มีความเชื่อมโยงกับกระบวนการค้ามนุษย์ เนื่องจากทางการไทยมีการปราบปรามขบวนการค้ามนุษย์ กลุ่มผู้ลักลอบเข้าเมืองโดยผิดกฎหมายอย่างต่อเนื่อง ทำให้ธุรกิจของขบวนการดังกล่าวเสียหาย กลุ่มคนบางกลุ่มเสียผลประโยชน์ จนเป็นเหตุนำไปสู่การกระทำดังกล่าว”พล.ต.อ.สมยศเผย

ขณะที่ พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี สำทับว่า ไม่น่าเกี่ยวกับปมอุยกูร์ เพราะถ้าเป็นเช่นนั้น จะต้องมีคนออกมารับผิดชอบ ดังนั้น น่าจะเป็นได้ทั้ง 3 ทาง คือ อาชญากรรมธรรมดา ค้ามนุษย์ธรรมดา หรือการส่งชาวอุยกูร์ แต่การส่งชาวอุยกูร์กลับจีนเป็นการทำตามกฎหมาย ไม่ใช่ปัญหาของไทย

ขอบคุณข้อมูล : มติชนออนไลน์