ติดตามรายละเอียด http://deeps.tnews.co.th

     จากคำพูดนายกรมต.และหัวหน้าคสช. พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เมื่อวันที่ 26 ส.ค.ที่ผ่านมา ที่ว่าต่อให้งานหนักกว่านี้ ไม่มีเงินเดือนก็จะอยู่ แต่ก็จะอยู่ด้วยกลไกประชาธิปไตยให้สง่างาม คำพูดประโยคนี้ประโยคเดียวดูท่าจะไม่จบง่ายๆ ซะแล้ว เพราะวันนี้ข่าวลามไปไกลถึงพล.อ.ประยุทธ์คิดจะตั้งพรรคการเมือง และพรุ่งนี้ก็ไม่รู้ว่าข่าวๆ นี้จะต่อยอดลามไปไกลถึงไหนอีก

     โดย นายสมพงษ์ สระกวี กมธ.ขับเคลื่อนการปฎิรูปประเทศด้านการเมืองของสปท.เผยว่า เพื่อนนายกรมต.มาสอบถามว่าหากจะตั้งพรรคควรทำอย่างไรให้มีความสง่างามและแข็งแรง แต่ไม่ได้บอกชัดเจนถึงขั้นว่านายกจะตั้งพรรคการเมือง ขณะที่บรรดานักการเมืองทั้งพรรคเพื่อไทย และ พรรคประชาธิปัตย์ก็ออกมาท้าให้พล.อ.ประยุทธ์ ลงเลือกตั้งเเละตั้งพรรคการเมืองเอง จะได้สง่างามตามที่พูดไว้ และยังไม่เท่านั้นยังมีการเสนอแนวทางเปรมโมเดล จากนายวันชัย สอนศิริ สมาชิกสปท.ที่ให้ พล.อ.ประยุทธ์ดูกรณี พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรี และรัฐบุรุษ ในสมัยที่เป็นนายกรมต.เป็นตัวอย่าง โดยในสมัยนั้นพล.อ.เปรมไม่จำเป็นต้องลงลต. แต่ก็อยู่เป็นนายกได้ถึง 8 ปี

     และเมื่อมีแนวคิดนี้ออกมา นายจตุพร พรหมพันธุ์ ก็ออกมาชี้กลับทันทีว่าที่มาของพล.อ.ประยุทธ์แตกต่างจากพล.อ.เปรม เพราะฉะนั้นไม่สามารถจะเอามาเปรียบเทียบกันได้ กล่าวคือพล.อ.เปรมไม่ได้ก้าวขึ้นไปเป็นนายกคนนอก แต่พล.อ.เปรมได้รับการสนับสนุนจากพรรคการเมืองด้วยเสียงข้างมากในสภา  ไม่เหมือนกับกรณีพล.อ.ประยุทธ์ที่นายจตุพร มองว่ากำลังปูทางขึ้นสู่อำนาจ และจะพังในที่สุด เพราะพล.อ.ประยุทธ์มาจากปลายกระบอกปืน ไม่มีความสง่างาม เรียกว่าทุกเสียงตอนนี้พุ่งตรงไปที่ตัวพล.อ.ประยุทธ์ เสมือนกับว่าวันนี้ พรุ่งนี้พล.อ.ประยุทธ์จะขึ้นเป็นนายกรมต.อีกสมัยหลังเลือกตั้ง ทั้งๆ ที่ตามโรดแมปที่กำหนดไว้ยังอีกปีกว่าถึงจะมีการเลือกตั้งได้ แต่อะไรจึงทำให้ในขณะนี้ได้เกิดปรากฎการณ์ที่นักการเมืองพากันออกอาการเดียวกัน คือ ผวาไปตามๆ กัน เหมือนกับจะกลัวว่าเหตุการณ์นี้มีโอกาสเกิดขึ้นจริงและอะไรจะตามมาสำหรับนักการเมืองยังไงยังงั้น