จับตาวาระร้อนกกต.!!!  ถกสรุปร่างพ.ร.บ.พรรคการเมืองฉบับเข้มโกง   จัดโทษหนักปล่อยคนนอกครอบงำพรรค  +  ชูนโยบายหาเสียงประชานิยมเกินจริง  ???

ติดตามรายละเอียด deeps.tnews.co.th

      ถึงแม้จะมีกระแสข่าวในเชิงขัดแย้งเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงประธานกกต. ตามข้อเรียกร้องของกกต.บางคนที่เห็นว่าเป็นการเปลี่แปลงตามวาระครบกำหนด  2  ปี   แต่สิ่งสำคัญที่ต้องจับสำหรับการประชุมกกต.ในวันนี้   ( 6 ก.ย.)   ก็คือวารพิจารณาร่างพ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง   โดยเนื้อหาของร่างพ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญดังกล่าวมี   6 หมวดสาระสำคัญแตกต่างไปจากปี 2550  คือ จะทำให้การตั้งพรรคการเมืองยากขึ้น รวมถึงการดำเนินการยุบพรรคจะทำได้ยากมากขึ้น   

 

      โดยสาระสำคัญให้เลือกกกต.คนหนึ่งทำหน้าที่เป็นนายทะเบียนพรรคเมือง ไม่ใช่ประธานกกต.เป็นนายทะเบียนเหมือนในอดีต การจัดตั้งพรรคการเมืองทำเป็น 2 ขั้นตอน คือต้องมีคณะผู้ริเริ่ม15 คนยื่นขอจัดตั้งพรรคการเมืองก่อน จากนั้นจึงมีการไปหาสมาชิกจากภาคต่างๆ ให้ครบ 5,000คน แล้วจึงประชุมคัดเลือกหัวหน้าและกรรมการบริหารพรรค ก่อนมาจดทะเบียนเป็นพรรคเมืองและส่งผู้สมัครลงรับเลือกตั้งได้

         

 

นอกจากนี้ในการดำเนินกิจการของพรรค    คณะกรรมการบริหารพรรค(กก.บห.)อาจถูกนายทะเบียนพรรคการเมือง   โดยความเห็นชอบของกกต.สั่งให้พ้นจากตำแหน่งทั้งคณะและห้ามดำรงตำแหน่งใดในพรรคการเมืองนั้นเป็นเวลา 5 ปีได้   หาก 1.มีพ.ร.ฎ.ให้มีการเลือกตั้งส.ส.แล้วพรรคปล่อยให้ผู้สมัคร สมาชิกพรรคฝ่าฝืนรัฐธรรมนูญ กฎหมาย ระเบียบที่เกี่ยวกับการเลือกตั้ง   2.ยินยอมให้บุคคล ที่ไม่ใช่สมาชิกพรรคกระทำการครอบงำ หรือชี้นำการดำเนินกิจการโดยอิสระของพรรคไม่ว่าโดยทางตรงหรืออ้อม   และ  3.เสนอนโยบายหาเสียงของพรรคโดยไม่ส่งข้อมูลการวิเคราะห์นโยบายต่อกกต.

     ขณะที่การส่งผู้สมัครรับเลือกตั้ง  กำหนดให้ความสำคัญกับสาขาพรรคเป็นผู้เสนอรายชื่อสมาชิกในจังหวัดนั้นเป็นผู้สมควรได้รับการพิจารณาให้เป็นผู้สมัครส.ส.แบบแบ่งเขต แบบบัญชีรายชื่อ กรณีจังหวัดใดไม่มีสาขาพรรค แต่มีสมาชิกพรรคตั้งแต่ 200 คนขึ้นไปก็ให้เป็นผู้เสนอ โดยกำหนดเป็นความสำคัญลำดับแรก ที่ต้องเสนอต่อกก.บห.ก่อนรายชื่ออื่นที่คณะกรรมการคัดเลือกผู้สมัครของพรรคเห็นว่าเหมาะสม ถ้าพรรคการเมืองไม่ดำเนินการตามนี้ในเขตเลือกตั้งใดก็ไม่มีสิทธิที่จะส่งผู้สมัครในเขตนั้น ส่วนการคัดเลือกบุคคลผู้สมควรเสนอสภาผู้แทนราษฎรพิจารณาเห็นชอบแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรีไม่เกิน3ชื่อต้องทำโดยที่ประชุมใหญ่ของพรรค

     ส่วนเหตุแห่งการสิ้นสภาพพรรคเมือง จากเดิมที่กำหนดว่าถ้าไม่ส่งผู้สมัคร 2 ครั้งติดต่อกันหรือเป็นเวลา 8 ปีติดต่อกันสุดแต่ระยะเวลาใดจะยาวกว่ากันจึงจะเป็นเหตุให้สิ้นสภาพพรรคการเมือง แต่ร่างกฎหมายใหม่ถ้ามีการเลือกตั้งทั่วไปแล้วพรรคการเมืองไม่ส่งผู้สมัครลงก็ให้สิ้นสภาพทันที

 

     และสำหรับการสั่งยุบพรรค และศาลรัฐธรรมนูญอาจสั่งเพิกถอนสิทธิหัวหน้าพรรคและกก.บห.เหลือเพียงกรณีพรรคกระทำการล้มล้าง หรือกระทำการเป็นปฏิปักษ์ การปกครองระบบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขเพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจในการปกครองโดยวิถีทางที่มิได้เป็นตามที่บัญญัติไว้รัฐธรรมนูญ

 

     ทั้งนี้บทเฉพาะกาลให้ 2 ปีแรก หลังกฎหมายใช้บังคับยังไม่ต้องนำบทบัญญัติเกี่ยวกับการคัดเลือกตั้งผู้สมัครจากสาขาพรรคมาใช้ ส่วนพรรคการเมืองที่จดทะเบียนตามพ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง 2550 ก็ให้เป็นพรรคการเมืองต่อไป ส่วนพรรคไหนยังมีองค์ประกอบการเป็นพรรคการเมืองไม่ครบตามกฎหมายนี้ก็ให้ดำเนินการให้ครบถ้วนใน1 ปีไม่เช่นนั้นให้สิ้นสภาพ