ถึงเวลาคนไทยทวงถามความเป็นธรรมค่า Service Charge (ชมคลิป)

การเช็คบิล จะมีการเรียกเก็บค่าบริการที่เรียกว่า Service Charge บางร้านก็เก็บ 10 % -20%

เชื่อว่าทุกคนน่าจะมีประสบการณ์ตรงเช่นเดียวกันเวลาไปทานอาหารที่ร้านอาหารต่างๆ นั่นก็คือเมื่อมีการเช็คบิล จะมีการเรียกเก็บค่าบริการที่เรียกว่า Service Charge บางร้านก็เก็บ 10 % -20% เลยก็มี โดยเมื่อนำมาเปรียบเทียบกับราคาอาหารก็จะพบว่า เป็นจำนวนเงินที่ไม่น้อยเลยทีเดียว และที่สำคัญยังเป็นการคิดเงินเพิ่ม สูงกว่าภาษีมูลค่าเพิ่มหรือแวต ที่ปัจจุบันกฎหมายกำหนดเอาไว้ 7%
เพราะฉะนั้น สำนักข่าวทีนิวส์ก็จะได้เริ่มปฏิบัติการณ์ภารกิจข่าวชุดใหม่ ให้คุณผู้ชมได้รับทราบว่า อะไรคือ Service Charge และเราในฐานะผู้บริโภค จะต้องจ่ายหรือไม่ต้องจ่ายก็ได้ ใช่หรือไม่อย่างไร ทั้งนี้เมื่อสำนักข่าวทีนิวส์ได้โพสต์ประเด็นดังกล่าว เพื่อเสริชหาการเคลื่อนไหวในลักษณะดังกล่าวผ่านทางกูเกิล ก็พบว่า แท้ที่จริงแล้วข้อสงสัยนี้ไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่ทุกๆครั้งที่มีการตั้งคำถาม ก็มักจะนำไปสู่การวิพากษ์วิจารณืไปต่างๆนานา แต่หาบทสรุปไม่ได้ ยกตัวอย่างเช่น กระทู้นี้ในพันทิพ ระบุว่าพ.ศ. นี้ การที่เราไปทานข้าวในร้านอาหาร หรือร้านอาหารตามห้างแล้วทางร้านคิดเงินพร้อมบวก Vat 7% และ Service Charge 10% โดยที่ไม่มีการติดประกาศแจ้งให้เห็นเด่นชัด หรือพนักงานบริกรไม่ได้แจ้งก่อนถือว่าเป็นเรื่องปกติไหมครับ

วันก่อนไปทานอาหารเป็นร้านก๋วยเตี๋ยวในห้างซึ่งก็ยอมรับว่าราคาค่อนข้างสูง ชามละประมาณ 70 - 80 บาท แต่ก็ถือว่าพอรับได้กับทำเลของร้านและแบรนด์ของห้าง แต่พอคิดเงินออกมา ปรากฎว่าทางร้านคิด Vat 7% และ Service Charge 10%  เพิ่มขึ้นมาจากราคาค่าอาหาร ซึ่งทำให้คนจ่ายเงินรู้สึกอึ้งๆ เพราะราคาเบ็ดเสร็จเมื่อเทียบกับสิ่งที่ได้รับจริง ถือว่าแพงกว่ากว่ารับประทานในห้องอาหารตามโรงแรมเสียอีก ทั้งนี้ตัวผมเองก็ไม่ได้สังเกตโดยละเอียดในตอนที่เลือกดูรายการอาหารว่าเขาแอบพิมพ์ตัวเล็กๆ ซ่อนเอาไว้ตรงไหนหรือเปล่า แต่ที่แน่ๆ ร้านนี้คงไม่ไปทานอีกเป็นครั้งที่สองแน่นอน
นอกจากนี้เจ้าของกระทู้ ยังได้โชว์บิลค่าอาหารปรากฏดังนี้
1.เหลาแซบเนื้อหม้อไฟ 180 บาท
2.ข้าวไก่อบ 95 บาท
3.น้ำเปล่า 25 บาท
4.โค้ก 35 บาท
รวม 335 บาท
ค่าบริการ 10% 33.50 บาท
ภาษี 7% 25.80 บาท
รวมทั้งสิ้น 394.30 บาท

พิจารณาจากค่าอาหารแล้ว ในบิลใบเสร็จ ก็จะเห็นว่า มีการคิดคำนวณเพิ่มขึ้นมาอีก 2 หัวข้อดังนี้
1.ภาษีมูลค่าเพิ่ม 7% หรือแวต คือ ภาษีมูลค่าเพิ่มเป็นภาษีที่เรียกเก็บจากผู้บริโภคที่เป็นผู้ซื้อสินค้าทั้งที่ผลิตในประเทศและต่างประเทศหรือเป็นผู้ได้รับบริการคนสุดท้าย  ผู้ประกอบการที่ไม่ใช่ผู้บริโภคคนสุดท้ายจะจ่ายภาษีซื้อ 7% ในตอนซื้อสินค้า  และเรียกเก็บภาษีขาย 7% ในตอนขายสินค้า เมื่อสิ้นเดือนจะนำภาษีซื้อและภาษีขายมาหักลบกัน  ผลต่าง หากภาษีซื้อมากกว่าภาษีขายจะเป็น ลูกหนี้-สรรพากร  หรือ  ภาษีขายมากกว่าภาษีซื้อ  จะเป็น  เจ้าหนี้-สรรพากร ซึ่งเป็นไปตามกฎหมาย
2.ค่าบริการ หรือ Service Charge ในทีนี้ ประเทศไทยไม่มีกฎหมายเฉพาะสำหรับเรื่อง service charge

ถึงเวลาคนไทยทวงถามความเป็นธรรมค่า Service Charge (ชมคลิป) ถึงเวลาคนไทยทวงถามความเป็นธรรมค่า Service Charge (ชมคลิป)

หลังจากที่เจ้าของกระทู้เปิดประเด็นดังกล่าวออกมาในเว็ปไซต์พันทิพ ปรากฎว่าก็มีคนเข้ามาแชร์ความคิดเห็นหรือประสบการณ์ตรงในลักษณะเดียวกันเป็นจำนวนมาก
Vat 7% ทางร้านต้องนำส่งรัฐนะครับ ส่วน Service Charge 10% เนี่ยเข้าร้านเต็มๆ
ไม่รู้พนักงานจะได้ด้วยหรือเปล่านะซิ ไม่รู้ทางร้านจะแบ่งให้พนักงานกี่ %
ถ้าร้านไหนมี Service Charge แล้วลูกค้ารู้สึกว่าไม่คุ้มที่ต้องจ่ายเลือกร้านอื่นนะครับ ราคาอาหารและเครื่องดื่มในเมนู ยังไม่รวมVAT และ Service Charge 10%*
ครับผมเข้าใจ จขกท. แต่ผมก็ไม่ทราบว่ากฏหมายบ้านเราบังคับให้ต้องติดข้อความแบบนี้ ไว้ในเมนูอาหารให้ผู้บริโภคทราบหรือเปล่า ผมก็ไม่กล้าฟันธง ส่วนใหญ่ที่เห็นไม่ว่าคิดค่าบริการอะไร ข้อความนี้มันจะตัวเล็กนิดเดียวเอง ผู้บริโภคอย่างเราๆท่านๆต้องระวังกันให้ดี กฏหมายคุ้มครองผู้บริโภคบ้านเรายังอ่อนนัก
เราเลิกกินตามร้านก็เพราะอย่างนี้แหละ บวกกันเยอะเกินไปจริง ๆ เหมือนโดนปล้นยังไงไม่รู้  ที่เมืองนอก ลูกค้าเลือกได้นะ ถ้าจะไม่จ่ายเซอร์วิส เป็นปกตินะคะ ถ้าไปที่สยามเซ็นเตอร์เกือบทุกร้านคิดแบบนี้ ไม่คิด vat นี่ ไม่ค่อยเจอนะคะ นอกจากร้านหน้าปากซอย แต่ service charge แล้วแต่นโยบายร้าน ส่วนใหญ่จะได้พนักงาน มีน้อยมากค่ะที่ทางร้านจะเก็บ service ...ไว้เอง ทำงานร้านอาหารเกือบ 20 ปี แล้ว พอทราบค่ะ ไม่สะดวกใจก็ไม่ต้องทาน ยิ่งถ้าบริการแย่ยิ่งไม่อยากจ่าย service charge จริงมั๊ยคะ ? เห็นได้อย่างชัดเจน จากเสียงสะท้อนของผู้ตอบกระทู้ ซึ่งคุณผู้ชมก็น่าจะลักษณะเดียวกันที่น่าจะเคยผ่านการถูกคิดค่าบริการจากร้านอาหาร เพียงแต่ในวันนี้ ยังไม่มีคำตอบที่ชัดเจนว่า ที่ถูกต้องนั้นเป็นอย่างไร และเราเลือกที่จะไม่จ่ายได้หรือไม่ ประกอบกับหน่วยงานรัฐจะเข้ามาช่วยตีกรอบและมาตรฐานได้หรือไม่