- 22 ก.ย. 2559
ติดตามรายละเอียด deeps.tnews.co.th
กลับมาเป็นข่าวที่สร้างความระทึกขวัญให้กับครอบครัวชินวัตรอีกครั้ง สำหรับการพิจารณาสำนวนคดีฟอกเงิน ในความรับผิดชอบสอบข้อเท็จจริงของกรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือ ดีเอสไอ จากกระบวนการปล่อยสินเชื่อของธนาคารกรุงไทยให้กับบริษัทในเครือกฤษดามหานคร ซึ่งศาลฎีกาแผนกคดีอาญาผู้ดำตำแหน่งทางการเมือง มีคำพิพากษาให้ถือเป็นการกระทำความผิดทุจริตต่อหน้าที่ในฐานะเจ้าพนักงานของรัฐ และร่วมถึงผู้ร่วมสนับสนุนการกระทำผิด
เนื่องจากคดีดังกล่าวเคยมีชื่อ นายพานทองแท้ ชินวัตร บุตรชายนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี , นางกาญจนาภา หงษ์เหิน เลขานุการส่วนตัวคุณหญิงพจมาน ณ ป้อมเพชร , นายวันชัย หงษ์เหิน สามีนางกาญจนาภา และนายมานพ ทิวารี บิดา น.ต.ศิธา ทิวารี อดีตกรรมการบริหารพรรคไทยรักไทย เป็นผู้ถูกกล่าวหาร่วมอยู่ในสำนวนคำฟ้องของคณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ หรือ คตส.
แต่ด้วยประเด็นทางข้อกฎหมายที่ถูกหยิบยกขึ้นมาอ้างโดยอัยการสูงสุดในขณะนั้น ทำให้นายพานทองแท้ และรายชื่อบุคคลดังกล่าวข้างต้นถูกตัดออกไปจากสำนวนคำฟ้อง แม้ว่าจะมีประจักษ์พยานบางส่วน อาจทำให้เชื่อได้ว่ามีเงินจำนวนหนึ่งถูกโอนผ่านนายพานทองแท้และพวก อันถือเป็นการร่วมการกระทำความผิดจากการทุจริตการปล่อยสินเชื่อดังกล่าวก็ตาม
( คดีนี้ คตส. มีหนังสือลงวันที่ 16 มิ.ย. 2551 ขอให้อัยการสูงสุด ดำเนินคดีกับ นายทักษิณ กับพวกรวม 27 คน ฐานร่วมกันหรือสนับสนุนในการกระทำความผิดอันเข้าข่ายเป็นพนักงานปฏิบัติ หรือ ละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ธนาคารกรุงไทย ผู้ถือหุ้น และประชาชน ผู้หนึ่งผู้ใด และ/หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต และเป็นกรรมการ หรือบุคคลซึ่งรับผิดชอบในการดำเนินงานของธนาคารกรุงไทย กระทำความผิดหน้าที่ของตนโดยกระทำการและ/หรือไม่กระทำการโดยทุจริต จนเป็นเหตุให้เกิดความเสียหายในลักษณะที่เป็นทรัพย์สินของธนาคารกรุงไทย ผู้ถือหุ้น ประชาชน ผู้ฝากเงินและ/หรือให้ความช่วยเหลือให้ความสะดวกในการกระทำความผิด นอกจากนี้ยังขอให้ดำเนินคดีกับนายพานทองแท้ นางกาญจนาภา นายวันชัย และนายมานพ ในความผิดฐานรับของโจร ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 357
ต่อมาอัยการสูงสุดในขณะนั้น (นายจุลสิงห์ วสันตสิงห์ ) พิจารณาแล้ว เห็นว่าการที่ คตส. ให้ดำเนินคดีกับนายพานทองแท้ กับพวกรวม 4 คน ฐานรับของโจร ถือเป็นการกระทำความผิดหลังการกระทำความผิดของผู้ถูกกล่าวหาทั้ง 27 คน ในคดีปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริตได้กระทำเสร็จสิ้นไปแล้ว และนายพานทองแท้กับพวก มิได้เป็นผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง จึงต้องแยกฟ้องต่อศาลอาญาที่มีเขตอาจต่อไป
โดยอสส. เห็นว่า คตส. มีอำนาจหน้าที่ตามประกาศคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข (คปค.) ฉบับที่ 30 และให้มีอำนาจตาม พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2542 แต่นายพานทองแท้กับพวก มิได้เป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ และมิได้เป็นตัวการ ผู้ใช้หรือผู้สนับสนุนเจ้าหน้าที่ของรัฐกระทำความผิด จึงไม่อาจเป็นผู้ถูกกล่าวหาตาม พ.ร.บ.ป.ป.ช. ได้
รวมถึงคตส. ไม่มีอำนาจไต่สวนนายพานทองแท้กับพวก และไม่อาจมีความเห็นในความผิดฐานรับของโจร โดยหากคณะกรรมการ ป.ป.ช. ประสงค์จะดำเนินคดีกับนายพานทองแท้กับพวก ก็ควรที่จะต้องร้องทุกข์กล่าวโทษเพื่อให้พนักงานสอบสวนดำเนินคดีตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาแยกต่างหากจากคดีนี้…” )
อย่างไรก็ตามแม้ว่าอัยการสูงสุดจะมีความเห็นให้แยกสำนวนการสอบสวนเพื่อดำเนินคดีกับนายพานทองแท้และพวก ต้องดำเนินการตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาแยกจากคดีที่นายทักษิณ พร้อมผู้บริหารธนาคารกรุงไทย และ เครือบริษัทกฤษดามหานคร ถูกฟ้องดำเนินคดีต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง แต่กรมสอบสวนคดีพิเศษหรือดีเอสไอในช่วงที่ผ่านๆ มา ก็ไม่ปรากฏมีการดำเนินการตามความเห็นของอัยการสูงสุดและรวมถึงความคืบหน้าทางคดีในลักษณะอื่น ๆ แต่อย่างใด ???
(แก้วสรร อติโพธิ อดีตคตส. : ประเด็นนี้ในที่ประชุม คตส. เคยมีมติให้ดำเนินคดีนายพานทองแท้ กับพวก ในข้อกล่าวหารับของโจร และฟอกเงิน ด้วย อย่างไรก็ดีเมื่อถึงขั้นตอนการส่งสำนวนคำร้องให้อัยการสูงสุด (อสส.) , ดีเอสไอ และคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) เพื่อดำเนินคดี ปรากฎว่าในฝ่าย อสส. เห็นว่า เรื่องนี้เกิดขึ้นภายหลังการกระทำผิดของผู้บริหารธนาคารกรุงไทยที่ปล่อยกู้เครือกฤษดามหานครไปแล้ว จึงมีมติไม่ฟ้อง ส่วนความคืบหน้าในดีเอสไอและ ปปง. นั้นไม่ทราบเลย
อย่างไรก็ตามกรณีของนายพานทองแท้กับพวกนั้น สำหรับ คตส.ถือว่ามีหลักฐานครบ เนื่องจากข้อเท็จจริงปรากฏว่า เส้นทางการเงินในคดีกรุงไทยปล่อยกู้เครือกฤษดามหานครนั้น มีเงินบางส่วนถูกโอนเข้าบัญชีของเครือข่ายบริวารตระกูลชินวัตร ซึ่งตรงนี้ถือว่าเป็นการฟอกเงิน หรือสนับสนุนให้มีการฟอกเงิน ซึ่งดีเอสไอ สามารถใช้สำนวนของ คตส. เพื่อดำเนินการได้เลย ไม่จำเป็นต้องตรวจสอบเพิ่มเติมอะไรอีกมากนัก)
ขณะเดียวกันคดีความในส่วนที่เกี่ยวเนื่องกับผู้ถูกกล่าวหารายอื่น ๆ ยังคงคืบหน้ามาเป็นลำดับ จนเมื่อ วันที่ 26 ส.ค. 2558 ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ได้มีคำพิพากษาลงโทษผู้เกี่ยวข้องกับอนุมัติปล่อยสินเชื่อของธนาคารกรุงไทยให้กับเครือบริษัทกฤษดามหานคร และมีคำวินิจฉัยของผู้พิพากษาศาลฎีกาฯ บางส่วนระบุถึงหลักฐานเส้นทางการเงินที่เกี่ยวโยงกับกับนายพานทองแท้และพวก
จึงทำให้คดีนี้มีความเคลื่อนไหวอีกครั้งเป็นข่าวใหญ่อีกครั้ง ภายหลังจากดีเอสไอตัดสินใจนำคำพิพากษามาศึกษารายละเอียด และนำไปสู่การเชิญนายพานทองแท้พร้อมพวก มาสอบถามถึงรายละเอียดเส้นทางการเงินกู้จากธนาคารกรุงไทย สู่เครือบริษัทกฤษดามหานครตั้งแต่ปลายปี 2558 แต่พยานทั้งหมดก็มีการขอเลื่อนมาโดยตลอด จนกระทั่งท้ายสุดนายพานทองแท้ยอมเข้าให้ข้อมูลกับพนักงานสอบสวนดีเอสไอ เมื่อวันที่ 4 มีนาคม 2559 และรวมถึงบุคคลที่มีรายชื่อทั้งหมด ท่ามกลางการจับตามองว่า ถึงที่สุดแล้วดีเอสไอจะสรุปพยานหลักฐานเพื่อนำไปสู่การชี้มูลความผิดนายพานทองแท้และพวกตามที่คตส.เคยสรุปคดีไว้เมื่อปี 2551 หรือไม่ ???
ขณะที่ล่าสุดมีรายงานข่าวจากดีเอสไอ ( 21 ก.ย.) ระบุความคืบหน้าแนวทางการสอบสวนคดีดังกล่าวว่า การสอบสวนมีความชัดเจนใกล้จะแล้วเสร็จสมบูรณ์แล้ว และจะมีการนัดคณะพนักงานสอบสวนในคดีดังกล่าวทั้งหมดมาประชุม เพื่อที่จะพิจารณาสรุปรายชื่อบุคคลที่มีส่วนเกี่ยวข้องในคดีนี้อีกครั้ง ก่อนจะส่งรายงานความเห็นให้อัยการสูงสุดว่าควรสั่งฟ้องใครบ้างตามรายละเอียดพยานหลักฐานที่ดีเอสไอรวบรวมได้เพียงพอต่อการชี้มูลความผิด
โดยเฉพาะกับข้อมูลจากการให้ถ้อยคำของ นางเกศินี จิปิภพ มารดาของนางกาญจนาภา และนายวันชัย สามีนางกาญจนาภา โดยการยอมรับว่า ได้รับเงินจากนายวิชัย กฤษดาธานนท์ อดีตผู้บริหารเครือกฤษดามหานครจริง ๆ ???