- 30 ก.ย. 2559
ติดตามข่าวเพิ่มได้ที่ www.tnews.co.th
วันนี้ ( 30 ก.ย.) นายชาญชัย อิสระเสนารักษ์ อดีต ส.ส.นครนายก พรรคประชาธิปัตย์ ในฐานะอดีตรองประธานกรรมาธิการป้องกันและปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ (กมธ.ปปช.) สภาผู้แทนราษฎร แถลงว่า หลังจากตนเรียกร้องให้บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (ทอท.) ซึ่งเป็นหน่วยงานรัฐสั่งให้กลุ่มบริษัท คิง เพาเวอร์ สุวรรณภูมิ จำกัด ติดตั้งระบบรับรู้รายได้จากการขายสินค้าหน้าร้าน และสต็อคสินค้าคงคลัง(พ้อยต์ออฟเซล) ตามสัญญาที่ ทสภ.1-01/2548 เพราะ ทอท. ได้จัดซื้อเตรียมมาตั้งแต่ปี 48 รวม 100 จุด และ ทอท.ได้แถลงยืนยันต่อสื่อมวลชนและรายงานต่อ สตง.ว่า ได้ติดตั้งระบบพีโอเอส มาตั้งแต่ปี 2549 แต่ทาง สตง.ตรวจพบว่า ไม่มีการติดตั้งใช้งานในระบบพ้อยต์ออฟเซล นอกจากนี้ ยังพบหลักฐานเป็นรายงานการประชุมบอร์ด ทอท. ครั้งที่ 4 เมื่อวันที่ 23 ก.พ. 55 ที่โรงแรมมิราเคิล แกรนด์ ว่าคณะกรรมการบริหาร ทอท.ได้ทำเรื่องของบประมาณ 312 ล้านบาท เพื่อขอจัดซื้อจัดหาระบบพ้อยต์ออฟเซล ด้วยวิธีพิเศษอีก 194 จุด จึงขอถามว่า "ของเก่าซื้อมากองไว้ไม่ใช้ แต่กลับมาขอเบิกเงินซื้อของใหม่ทำไม"
นายชาญชัย กล่าวต่อว่า นอกจากนี้ ยังพบอีกว่าเพิ่งจะมีการติดตั้งระบบพ้อยต์ออฟเซล เมื่อ 5 เดือนที่ผ่านมา จากรายงานถึงผู้ว่าฯ สตง.เมื่อวันที่ 4 พ.ค. 59 ชี้ให้เห็นว่า คณะผู้บริหาร ทอท. ทำรายงานเท็จต่อบอร์ดทอท. ผู้ถือหุ้นทอท. ผู้ว่า สตง. และสื่อมวลชน เป็นพฤติกรรมเจ้าหน้าที่ในหน่วยงานของรัฐที่ละเลย ทำให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ โดยสตง.ได้ระบุพฤติกรรมว่า เป็นการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายต่อหน่วยงานรัฐและเป็นช่องว่างของการดำเนินงานที่ไม่โปร่งใส แม้ปัจจุบันทดลองติดตั้งเชื่อมต่อระบบนี้แล้ว แต่ก็พบว่ายอดตัวเลขของการขายสินค้าและบริการที่แสดงผลสรุปรายวันต่อ ทอท. และกลุ่มบริษัท คิง เพาเวอร์ ก็ยังไม่ตรงกัน โดยมีรายงานผลการตรวจสอบของ สตง.เป็นหลักฐานเมื่อวันที่ 22 พ.ค. 59
" สาเหตุที่เจ้าหน้าที่ของรัฐกล้าทำถึงขนาดนี้ เพราะมีการเมืองเข้ามา ในสมัยที่นายทักษิณ ชินวัตร เป็นนายกฯ และเป็นประธานคณะกรรมการบริหารการพัฒนาท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ (กทภ.) ได้มีการประชุม กทภ.ครั้งที่ 3 / 2546 วาระที่ 3.4.4 (2) เรื่องสั่งให้กฤษฎีกาทบทวนความเห็นไม่ต้องนำสินค้าคงคลังมารวมเป็นทุนร่วมกับหน่วยงานของรัฐตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยการให้เอกชนเข้าร่วมงาน หรือดำเนินการในกิจการของรัฐพ.ศ.2535 (พ.ร.บ.ร่วมทุนฯ) ซึ่งนายทักษิณได้สั่งการให้ นายวิษณุ เครืองาม รองนายกฯขณะนั้น กับ ทอท. ทำหนังสือถึงกฤษฎีกาให้ลดหย่อนเงื่อนไขการที่จะเอาสินค้าคงคลังมารวมทรัพย์สิน คือ ที่ดินและอาคารสิ่งปลูกสร้าง ทั้งระหว่างของรัฐและเอกชนที่กำลังจะก่อสร้างว่ามีมูลค่าเกินพันล้านหรือไม่ ซึ่งถ้าเกินก็ต้องใช้ พ.ร.บ.ร่วมทุนฯ เพื่อต้องการเอื้อประโยชน์ให้กลุ่มบริษัทนี้ ให้ได้รับการต่อสัญญาใหม่โดยไม่ต้องประมูลแข่งขันใหม่ จึงเป็นเหตุให้เกิดการหลีกเลี่ยงไม่ใช้ พ.ร.บ.ร่วมทุนฯ กับโครงการนี้ ทำให้ไม่ต้องมีการประมูลแข่งขันแต่กลับใช้วิธีการเจรจาด้วยวิธีพิเศษแทน " นายชาญชัยกล่าว
นอกจากนี้ ยังมีหลักฐานการประชุมของคณะทำงานพิจารณารายละเอียดการขอต่อสัญญาเพื่อเข้าประกอบกิจการจำหน่ายสินค้าปลอดอากรภายในท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ เชียงใหม่ ภูเก็ต และหาดใหญ่ ของ บริษัท คิง เพาเวอร์ ดิวตี้ฟรี จำกัด ถึง 4 ครั้ง และยังมีการเปิดช่องให้เอกชนเข้ามากำหนดเงื่อนไขในทีโออาร์ ตั้งแต่การประชุมครั้งแรก เมื่อวันที่ 21 ก.พ. 47 ที่โรงแรมแห่งหนึ่ง ซึ่งขัดต่อระเบียบวิธีปฏิบัติราชการ ที่ปกติหน่วยงานรัฐจะเป็นผู้กำหนดเงื่อนไขการอนุมัติ หรือจ้างให้ร่วมงาน หรือจัดซื้อจัดจ้างโดยฝ่ายรัฐจะเป็นผู้กำหนดหลักเกณฑ์และต้องขออนุมัติจากผู้บังคับบัญชาต้นสังกัด ก่อนที่จะเรียกให้เอกชนหรือผู้ประกอบการมาทราบเงื่อนไข
" แต่กรณีนี้ ทอท. กลับให้ตัวแทนของบริษัทนี้เข้ามาร่วมกำหนดเงื่อนไข โดยมีหนังสือว่าด้วยการขอต่อสัญญาของ บริษัท คิง เพาเวอร์ ลงวันที่ 13 ม.ค.47 เป็นหลักฐาน แต่ยังดีว่า กฤษฎีการไม่ยอมโดยย้ำว่าต้องทำสัญญาใหม่ เพราะเป็นการเปลี่ยนแปลงคำขอต่อสัญญานี้ จึงถือว่าเป็นการทำผิดระเบียบราชการและกฎหมาย พ.ร.บ.ร่วมทุนฯ มาตั้งแต่เริ่มแรก ที่น่าสังเกตที่สุดคือ ทาง ทอท. กลับมีหนังสือราชการแจ้งให้ บริษัท คิง เพาเวอร์ ดิวตี้ฟรี จำกัด จ่ายเงินค่าว่าจ้างในการศึกษารับรองโครงการกับสถาบันทรัพย์สินทางปัญญาแห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยที่ศึกษาโครงการนี้ให้ ทอท. แทนอีกด้วย "