คดีอื้อฉาว !! ป.ป.ช.เปิดคลิปมัด "ธนิศร" เสียบบัตรแทนกัน ขณะ"อุดมเดช" อ้างจนท.สภายันสลับร่างรธน.ไม่ผิด

ติดตามรายละเอียด http://deeps.tnews.co.th

สนช. พิจารณาวาระแถลงเปิดคดีถอดถอน 2 อดีตส.ส.พท. ป.ป.ช.เปิดคลิปมัด "ธนิศร" ใช้บัตร 3 ใบลงคะแนนแก้ไขรธน. ชี้ขัดรธน. กลืนคำปฏิญญาณตน เจ้าตัวกร้าวไม่ยอมรับข้อกล่าวหา ด้าน "อุดมเดช" อ้างจนท.รัฐสภาการันตีสลับร่างรธน.ไม่ผิด สนช.ตั้งกมธ. ซักถาม พร้อมนัดซักคู่กรณี 14 ต.ค.
         
วันนี้ (6ต.ค.) ที่ประชุมสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ได้มีการพิจารณาวาระสำคัญคือการแถลงเปิดคดีการถอดถอนนายนริศร ทองธิราช อดีตส.ส.สกลนคร พรรคเพื่อไทย กรณีการเสียบบัตรลงคะแนนแทนกัน และคดีนายอุดมเดช รัตนเสถียร อดีตส.ส.นนทบุรี พรรคเพื่อไทย กรณีการสับเปลี่ยนแก้ไขรัฐธรรมนูญเรื่องที่มาส.ว.ในสมัยรัฐบาลน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกฯ
         
โดยน.ส.สุภา ปิยะจิตติ กรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ตัวแทนผู้กล่าวหา ได้ยืนยันความผิดของนายธนิศร โดยได้เปิดคลิปภาพเสียงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นที่แสดงให้เห็นภาพนายธนิสร กำลังเสียบบัตรลงคะแนนจำนวนสามใบ การที่นายธนิศร อ้างว่ามีบัตรหลายใบเพราะทำบัตรสำรองไว้ แต่จากการตรวจสอบจากกลุ่มงานบริหารทั่วไป สำนักงานการประชุม ชี้แจงว่า ส.ส.จะมีบัตร 3 ใบคือ 1.บัตรจริงที่มีรูปถ่าย ชื่อ นามสกุล เลขประจำตัว มีกรุ๊ปเลือดและชื่อพรรคที่สังกัด 2.บัตรลงคะแนนสำลอง ซึ่งไม่มีรูป มีแต่ชื่อ นามสกุล และพรรคการเมืองที่สังกัด และ 3. บัตรลงคะแนนพิเศษ หรือ เอสพีไม่มีรูป ไม่มีชื่อ สกุล มีเพียงเลขประจำตัวและพรรคการเมืองที่สังกัด

โดยบัตรจริงจะให้สมาชิกเก็บไว้ ส่วนอีกสองใบจะฝากไว้ที่กลุ่มงานบริหารทั่วไป สำนักการประชุม หากสมาชิกจะขอใช้เนื่องจากลืมบัตรจริงจะต้องไปเขียนคำร้องขอใช้บัตรและเมื่อใช้เสร็จแล้วต้องนำไปคืน คลิปที่มีการบันทึกภาพในวันลงคะแนนเมื่อปี 56 ที่มีน.ส.รังสิมา รอดรัศมี อดีตส.ส.สมุทรสงคราม พรรคประชาธิปัตย์นำมาแสดงนั้น ซึ่งบัตรที่นายนริศรนำมาลงคะแนนทั้ง 3 ใบเป็นบัตรจริงทั้งหมด เนื่องจากมีรูปสมาชิกชัดเจน ดังนั้นคำชี้แจงของนายนริศรไม่อาจน่าเชื่อถือและไม่อาจรับฟังได้ ประกอบกับทางรัฐสภาไม่เคยออกบัตรใหม่ให้นายนริศร และการลงมติถือเป็นเอกสิทธิ์เด็ดขาดสมาชิกหนึ่งคนจะลงมติได้เพียงครั้งเดียว รวมทั้งประจักษ์พยานอื่นที่มาเบิกความประกอบกับภาพถ่ายมีสมาชิกรัฐสภาหลายคนไม่ได้มาออกเสียงลงคะแนน แต่ได้มอบหมายให้สมาชิกบางคนมาออกเสียงแทน
         
ส่วนที่นายนริศรอ้างว่าการลงมติถือเป็นเอกสิทธิ์เด็ดขาดของสมาชิกไม่สามารถนำไปฟ้องร้องได้แต่จากการสอบปากคำนายบวรศักดิ์ อุวรรณโณ ระบุว่าสมาชิกมีเอกสิทธิ์ก็จริง แต่ต้องอยู่ภายในรัฐธรรมนูญบัญญัติไว้ และต้องอยู่ภายใต้การปฏิญาณตนของสมาชิกที่กระทำต่อหน้าพระบรมฉายาลักษณ์ในห้องประชุมนี้ว่าจะปฏิบัติหน้าที่อย่างซื่อสัตย์สุจริต และตามรัฐธรรมนูญทุกประการ ดังนั้นเมื่อการลงมติต้องอยู่ภายใต้รากฐานการซื่อสัตย์สุจริตตามที่ปฏิญาณไว้ เมื่อละเมิดคำปฏิญาณย่อมทำให้ไม่ได้รับความคุ้มครองตามที่กล่าวอ้าง
         
ด้านนายนริศร แถลงคัดค้านข้อกล่าวหาของป.ป.ช เพียงยืนยันว่า ใช้บัตรของตนเองเพียงใบเดียว และอยากทราบว่าบัตรอีกสองใบเป็นของใคร ผู้กล่าวหาสามารถพิสูจน์ได้หรือไม่ว่าชื่ออะไรและบุคคลใด แม้ในคลิปจะตัดต่อไม่ได้ก็ตาม และที่ผ่านมาตนเป็นส.ส.มาหลายปีก็ใช้บัตรของตัวเองตลอด จากนั้นที่ประชุมได้ตั้งคณะกรรมการซักถามจำนวน 7 คน โดยนายพรเพชรได้นัดประชุมเพื่อซักถามในวันที่ 14 ต.ค.

ต่อมาเป็นแถลงเปิดของนายอุดมเดช โดยน.ส.สุภา ปิยะจิตติ กรรมการป.ป.ช. แถลงเปิดสำนวนว่า จากการไต่สวนได้ความว่า ส.ส. และส.ว. จำนวน 314 คนร่วมลงรายมือชื่อในร่างแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญเกี่ยวกับที่มาส.ว. ต่อมานายอุดมเดช ได้มอบหมายให้เลขานุการส่วนตัวนำร่างแก้ไขเพิ่มเติมฉบับใหม่ ซึ่งมีบทบัญญัติเพิ่มเป็น 13 มาตรา ไปสลับกับฉบับเดิม โดยเปลี่ยนแปลงหลักการและสาระสำคัญเปลี่ยนเป็นทำให้ส.ว.ที่สิ้นสุดการดำรงตำแหน่งสามารถลงสมัครเลือกส.ว.ได้ทันที โดยไม่ต้องเว้นวรรค 2 ปี ซึ่งฉบับเดิมไม่มีหลักการดังกล่าว ต่อมาประธานรัฐสภาได้ส่งสำเนาแก้ไขเพิ่มเติมให้แก่สมาชิกรัฐสภา และลงมติวาระที่ 1, 2 และ3 ซึ่งสมาชิกรัฐสภาได้ลงมติ แต่ เป็นร่างที่ไม่ได้มีการลงลายมือชื่อ
         
น.ส.สุภา กล่าวว่า จากการชี้แจงของนายอุดมเดช ระบุว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกระทำก่อนที่ประธานรัฐสภาได้อนุญาตบรรจุวาระ จึงไม่จำเป็นต้องให้สมาชิกรัฐสภาลงลายมือชื่ออีกครั้ง แต่ป.ป.ช.เห็นว่าเมื่อร่างรัฐธรรมนูญฉบับ 314 คนที่ได้ลงลายมือชื่อ ต่อมาได้ถูกสลับเปลี่ยนไปจากการะทำของนายอุดมเดช โดยเพิ่มข้อความทำให้บุคคลที่เป็นส.ว.สามารถรับเลือกตั้งโดยไม่ต้องเว้นวรรค 2 ปี โดยที่สมาชิกรัฐสภาไม่ได้ลงลายมือชื่ออีกครั้ง เท่ากับว่าร่างที่นำไปสลับเป็นร่างที่มีหลักการสาระสำคัญแตกต่างไปจากร่างเดิม ดังนั้น ร่างที่ไม่ได้มีการรับรอง จึงถือว่ามิชอบ แม้รัฐสภาจะลงมติให้ความเห็นชอบ ก็ไม่ได้ทำให้เกิดความชอบแต่อย่างใด
        
ด้านนายอุดมเดช แถลงโต้แย้งคัดค้านว่า การที่ป.ป.ช.กล่าวหาว่าตนเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ ขอให้สนช.เป็นผู้วินิจฉัยเอง ส่วนการสับเปลี่ยนร่างรัฐธรรมนูญโดยไม่มีสมาชิกลายชื่อและการสับเปลี่ยนร่างกระทำได้หรือไม่นั้น การยื่นแก้ไขร่างรัฐธรรมนูญร่างเดิมที่ยื่นเมื่อวันที่ 20 มี.ค. 56 ไม่เป็นไปตามข้อตกลงที่ตกลงกันไว้ ให้ส.ว.มาจากการเลือกตั้ง 200 คน และไม่ตัดสิทธิ์ส.ว.ปัจจุบันที่สามารถลงสมัครได้ จึงมีการหารือกันว่าจะทำอย่างไรให้เป็นไปตามที่ตกลงกันไว้ และเห็นตรงกันว่าสามารถแก้ไขได้ตราบใดที่ประธานรัฐสภายังไม่บรรจุวาระ และเมื่อใดก็ตามที่บรรจุวาระแล้วให้ถือเป็นร่างของรัฐสภาที่หากจะแก้ไขต้องขอเสียงข้างมากจากที่ประชุมรัฐสภาเพื่อสนับสนุน เมื่อประธานรัฐสภายังไม่บรรจุวาระจึงนำสำเนาร่างมาขอปรับปรุงเพื่อให้เป็นไปตามเจตนารมณ์ของสมาชิกที่ได้ร่วมลงรายมือชื่อเอาไว้ ดังนั้นร่างที่ประธานบรรจุวาระและเอกสารที่สมาชิกได้รับก็ตรงกับเอกสารที่ใช้บรรจุคือร่างที่ปรับปรุงแล้ว ประกอบกับไม่มีสมาชิกที่ร่วมลงรายชื่อทักท้วงว่าไม่ตรงกับเจตนารมณ์ของสมาชิกที่ลงชื่อ แสดงให้เห็นว่าการเสนอแก้ไขเพิ่มเติมเป็นสิ่งที่สมาชิกย่อมรับทราบอยู่แล้ว  จากนั้นที่ประชุมมีมติตั้งคณะกรรมการซักถาม จำนวน 7 คน โดยใช้กรรมการชุดเดียวกับของนายนริศร และนัดประชุมสนช.เพื่อซักถามคู่กรณีในวันที่ 14 ต.ค. 2559