ไม่มีสิทธิ!!! ก.ล.ต.ยืนยัน "สุทธิชัย หยุ่น" และพวกไม่สามารถอุทธรณ์คำสั่งขาดความน่าไว้วางใจได้

ติดตามรายละเอียด deeps.tnews.co.th

สืบเนื่องจากกรณีคณะกรรมการและผู้บริหาร เครือเนชั่น ประกอบด้วย บมจ.เนชั่น บรอดแคสติ้ง คอร์ปอเรชั่น (NBC) ,บมจ.เนชั่น อินเตอร์เนชั่นแนล เอ็ดดูเทนเมนท์ (NINE) และบมจ.เนชั่น มัลติมีเดีย กรุ๊ป (NMG) เตรียมยื่นอุทธรณ์คำสั่งการขาดคุณสมบัติต่อคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) หลังก.ล.ต. เปิดเผยรายชื่อกรรมการและผู้บริหารเครือเนชั่นทั้งหมด 8 ราย มีลักษณะขาดความน่าไว้วางใจในการเป็นกรรมการและผู้บริหาร

(อ่านข่าวประกอบ http://deeps.tnews.co.th/contents/207356/ สั่งฟันแล้ว!!! ก.ล.ต.ชี้มูล "สุทธิชัย หยุ่น" กับพวกอีก 7 ขาดความน่าไว้วางใจเป็นกก.-ผู้บริหารเนชั่นฯนับตั้งแต่ 6 ต.ค.เหตุถูกอัยการฟ้องคดีอาญา)

โดยเมื่อช่วงเช้าของวันที่ 7 ต.ค. 59 คณะกรรมการและผู้บริหาร เครือเนชั่น ระบุว่าการประกาศการขาดคุณสมบัติกรรมการยกชุด ส่งผลกระทบต่อการประกอบกิจการของเนชั่นกรุ๊ปโดยตรงทั้งในเรื่องของเครดิตและสินเชื่อจากธนาคาร รวมถึงการดำเนินธุรกิจปกติที่ต้องหยุดชะงัก ซึ่งอาจจะสร้างความเสียหายต่อเนื่องต่อธุรกิจของกลุ่มบริษัทได้

ขณะที่กรรมการที่เหลืออยู่เพียง 2 คนไม่สามารถจัดประชุมคณะกรรมการบริษัทให้ครบองค์ประชุมเพื่อกระทำการใดๆ ได้ตามกฎหมายอีกด้วย

เพราะฉะนั้นในกรณีนี้ ทางผู้บริหารเครือเนชั่น จึงได้มอบหมายให้ที่ปรึกษากฎหมายตรวจสอบและให้ความเห็นว่าการแบล็คลิสต์ของก.ล.ต. ซึ่งไม่สอดคล้องกับคำพิพากษาของศาลจะมีผลอย่างไร รวมถึงสิทธิทางกฎหมายของกรรมการที่โดนแบล็คลิสต์ทั้ง 8 รายในทางกฎหมายด้วย

ดังนั้นจึงเป็นที่มาของการเตรียมยื่นอุทธรณ์คำสั่งการขาดคุณสมบัติต่อก.ล.ต.ดังที่กล่าวมา

แต่ว่าล่าสุด สำนักข่าวทีนิวส์ ได้สอบถามจากแหล่งข่าวฝ่ายคดีปกครองของสำนักงานก.ล.ต.ว่า การยื่นอุทธรณ์ของผู้บริหารเครือเนชั่นสามารถทำได้หรือไม่ ซึ่งก็ได้รับคำตอบว่า "ไม่สามารถยื่นอุทธรณ์ได้" เนื่องจากการดำเนินการของ ก.ล.ต. เป็นผลสืบเนื่องจากการสั่งฟ้องคดีอาญาของพนักงานอัยการในเดือนสิงหาคม 2559 ที่ผ่านมา ซึ่งการสั่งฟ้องของพนักงานอัยการดังกล่าวเป็นผลให้บุคคลทั้ง 8 ราย มีลักษณะขาดความน่าไว้วางใจตามประกาศของคณะกรรมการ ก.ล.ต. จึงไม่สามารถดำรงตำแหน่งกรรมการและผู้บริหารของบริษัทที่ออกหลักทรัพย์และบริษัทจดทะเบียนใด ๆ ไปจนกว่าการดำเนินคดีอาญาจะสิ้นสุด  ซึ่งผลของคำพิพากษาในคดีแพ่งของศาลจังหวัดพระโขนงจะเป็นคุณต่อบุคคลทั้ง 8 ราย ในคดีอาญาหรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของศาล ซึ่ง ก.ล.ต. มิอาจก้าวล่วงได้

ซึ่งสอดคล้องกับ นายสมชาย พงษ์พัฒนาศิลป์ ผู้ช่วยเลขาธิการ ก.ล.ต. ที่กล่าวว่า “การดำเนินการของ ก.ล.ต. เป็นการปฏิบัติตามเงื่อนไขของประกาศคณะกรรมการ ก.ล.ต. ที่กำหนดไว้ชัดเจน ซึ่งเมื่อพิจารณาอย่างรอบคอบแล้วพบว่าเข้าองค์ประกอบ บุคคลกลุ่มดังกล่าวก็จะขาดคุณสมบัติในทันที ซึ่งเป็นเงื่อนไขที่ ก.ล.ต. ไม่สามารถใช้ดุลยพินิจให้เป็นอื่น“

ขณะที่ในส่วนของประกาศคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ ที่ กจ. 8/2553 เรื่อง  การกำหนดลักษณะขาดความน่าไว้วางใจของกรรมการและผู้บริหารของบริษัท ลงวันที่ 23 เม.ย. 53 ข้อ 3 และข้อ 4(3) กำหนดไว้ดังนี้

ข้อ 3   กรรมการและผู้บริหารของบริษัทต้องไม่มีลักษณะขาดความน่าไว้วางใจ ดังต่อไปนี้

ข้อ 4   ให้กรณีดังต่อไปนี้เป็นลักษณะขาดความน่าไว้วางใจกลุ่มที่ 1 (3)  อยู่ระหว่างถูกกล่าวโทษโดยสำนักงาน หรืออยู่ระหว่างถูกดำเนินคดีอันเนื่องจากกรณีที่สำนักงานกล่าวโทษ หรือเคยต้องคำพิพากษาถึงที่สุดให้จำคุก ไม่ว่าศาลจะมีคำพิพากษาให้รอการลงโทษหรือไม่ และพ้นโทษจำคุกหรือพ้นจากการรอลงโทษมาแล้วไม่ถึงสามปี  ทั้งนี้ เฉพาะในความผิดตามกฎหมายว่าด้วยหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์หรือกฎหมายว่าด้วยสัญญาซื้อขายล่วงหน้า ตามที่ระบุในบัญชีท้ายประกาศนี้

ไม่มีสิทธิ!!! ก.ล.ต.ยืนยัน "สุทธิชัย หยุ่น" และพวกไม่สามารถอุทธรณ์คำสั่งขาดความน่าไว้วางใจได้

ในขณะเดียวกัน คำสั่งของก.ล.ต.ที่ออกไป ยังมีผลทำให้ผู้บริหารทั้งหมด  8 ราย คงต้องหยุดปฏิบัติหน้าที่ ในการเป็นกรรมการและผู้บริหารของเครือเนชั่นทั้งหมด