โอ๊ยสาแก่ใจนัก!! "ชัย ราชวัตร" ชอบใจโดนัลด์ ทรัมป์บอกจะดูแลปชช.เท่าเทียม ไม่เหมือนอดีตผู้นำไทยบางคนจะดูก่อนว่าจว.ไหนลงคะแนนน้อยหรือมาก

 

 

 

 

 

     ภายหลังผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ คนที่ 45 เสร็จสิ้นลงว่า โดนัลด์ ทรัมป์ คือผู้ที่ได้รับชัยชนะในการเลือกตั้ง แม้ฮิลลารี คลินตัน จะนำเหนืออยู่ก้าวหนึ่งในเกือบทุกโพล ทำให้หลายคนถึงกับตกตะลึงกันถ้วนหน้าที่ผลออกมาอย่างพลิกล็อค และเกิดความกังวลเกี่ยวกับสหรัฐฯ จะดำเนินไปอย่างไร ภายใต้การนำของ โดนัลด์ ทรัมป์ เพราะก่อนหน้านั้นนโยบายในช่วงหาเสียงของนายทรัมป์ ได้ก่อให้เกิดการวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนัก

 

 

 

 

     ล่าสุด ชัย ราชวัตร หรือนายสมชัย กตัญญุตานนท์ นักเขียนการ์ตูนการเมืองชื่อดังในลักษณะ 3 กรอบ "ผู้ใหญ่ลีกับทุ่งหมาเมิน" ในหนังสือพิมพ์ไทยรัฐ ได้โพสต์ข้อความลงเฟซบุ๊กส่วนตัว "Chai Ratchawat" เกี่ยวกับผลการเลือกตั้งครั้งนี้ โดยชัย ราชวัตร ได้เปรียบนายทรัมป์เป็นเชื้อโรคมะเร็ง ขณะที่เปรียบนางฮิลลารี คลินตัน เป็นเชื้อโรคเอดส์ ชัยชนะของทรัมป์ที่เป็นเชื้อโรคมะเร็งที่เป็นเอง ทุกข์ทรมานเองจะก่อความวุ่นวายภายในสหรัฐจากท่าทีที่แข็งกร้าว ทำให้ขาดเวลาวุ่นวายกับประเทศอื่นๆ โดยเฉพาะไทย ขณะที่นางฮิลลารี่ คลินตัน และรัฐบาลพรรคเดโมแครตส่งทูตมาแต่ละคนมาทำหน้าที่หลักคือการให้การสนับสนุนคนเสื้อแดงล้มล้างสถาบันที่คนไทยเคารพ เรียกร้องให้ไทยยกเลิกกฎหมายอาญามาตรา 112 ชอบวุ่นวายกับประเทศต่างๆ ถึงขนาดลอบสังหารทูตของตัวเองเพื่อสร้างข้ออ้างรุกรานซีเรีย

 

 

บุคคลสำคัญในอเมริกาหลายคนให้ความเห็น การเลือกตั้ง ปธน.อเมริการะหว่างทรัมป์กับฮิลลารี่ เหมือนถูกบังคับให้เลือกระหว่างโรคระเร็งกับโรคเอดส์

 

สำหรับผมในฐานะคนไทย คิดว่าโรคมะเร็งคือทรัมป์ โรคเอดส์คือฮิลลารี่ เพราะโรคมะเร็งผู้เป็น เป็นเองทุกข์ทรมานเอง แต่โรคเอดส์เป็นแล้วแพร่เชื่อติดต่อคนอื่นที่ใกล้ชิดเดือดร์อนไปด้วย

 

ทรัมป์เป็นคนขี้โวมาจากตระกูลเศรษฐี เป็นเพลย์บอยเหยียดหยามสตรีเพศ เหยียดหยามเชื้อชาติโดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้อพยพเข้าอเมริกา และเป็นเรื่องปกติสำหรับนักธุรกิจใหญ่ ๆ หนีไม่พ้นเรื่องหนีภาษีเพื่อสร้างกำไรมาก ๆ เหยียดหยามคนชาติพันธ์อื่นโดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้อพยพเข้าเมือง นโยบายการเมืองก็คลุมเคลือเอาแน่อะไรไม่ได้ แต่นั่นเป็นปัญหาส่วนตัวของทรัมป์และคนอเมริกันไม่เกี่ยวกับคนไทย ถ้าได้เป็น ปธน.เซเลปหลายคนเกลียดทรัมป์ขนาดประกาศว่าทรัมป์ชนะเลือกตั้งจะอพยพไปอยู่ประเทศอื่น ผมแอบยินดีเงียบ ๆ ขอให้มันวุ่นวายในประเทศเยอะ ๆ เข้าไว้ จะได้เลิกวุ่นวายประเทศอื่น โดยเฉพาะประเทศไทย ที่เข้ามา"เผือก"เรืองภายในของไทยจนเกินทนแล้ว รัฐบาลเดโมแครตของฮิลลารี่ส่งฑูตแต่ละคนมาทำหน้าที่หลักคือ หนุนคนเสื้อแดงล้มล้างสถาบันที่คนไทยเคารพ เรียกร้องให้ยกเลิกมาตร 112 ซึ่งไม่เกี่ยวอะไรกํบอเมริกาเลย

 

ส่วนฮิลลารี่คือโรคเอดส์ชัด ๆ เพราะระหว่างเธอมีตำแหน่งเป็นรัฐมนตรีต่างประเทศ เธอแพร่เชื้อโรคร้ายไปทั่วโลก เธอเป็นนางมารร้ายที่เที่ยววุ่นวายกับประเทศอื่นแบบตำรวจโลก อเมริกาต้องไม่เป็นรองใคร ประกาศตัวชัดเจนจะสยบประเทศจีนแลรัสเซีย ส่งเสริมกองกำลังไอซีสเข่นฆ่าประชาชนผู้บริสุทธิ์เพื่อเปิดทางให้อเมริกาเข้าไปปล้นชิงทรัพยากรประเทศนั้น ๆ หนุนทั้งกำลังเงินกำลังอาวุธ และส่งเสนาธิการไปเป็นที่ปรึกษาให้ เพียงเพื่อให้เกิดส่งครามจะได้อ้างจะปราบกองกำลังไอซีสเพื่อส่งทหารอเมริการยึดครองประเทศนั้น ๆ นางร้ายขนาดลอบสังหารพูตของตัวเองเพื่อสร้างข้ออ้างรุกราน (เรื่องนี้หลักฐานค่อนข้างอ่อนยังยากจะเชื่อ)

 

คงเป็นเหตุผลเดียวกันนี้ที่ปููตินประกาศโดยเปิดเผยหนุนทรัมป์เป็น ปธน.อเมริกา

 

เมื่อคืนติดตามข่าวจนดึกฮิลลารี่คะแนนนำหน้าทรัมป์อยู่เยอะเลย ทีวีรายการวิเคราะห์ข่าวทุกช่องให้ความเห็นฮิลลารี่ชนะใส ตื่่นเช้า(ความจริงสาย)มาเปิดทีวีฮิลลารี่ยกธงขาวโทรศัพท์หาทรัมพ์ยอมรับความพ่ายแพ้ตามประเพณีการเลือกตั้งของอเมริกา และทรัมป์ขึ้นเวทีประกาศชัยชนะ เป็นครั้งแรกที่ได้ยินทรัมพ์แสดงสุนทรพจน์พูดอะไรที่กินใจผมที่สุด

 

"ข้าพเจ้าจะทำหน้าที่ดูแลชาวอเมริกันทุกคนโดยเสมอเท่าเทียมกัน ไม่ว่าท่านจะลงคะแนนให้ข้าพเจ้าหรือไม่" ไม่ยักเหมือนผู้นำไทย "จังหวัดไหนลงคะแนนให้ผมน้อยกว่าจังหวัดอื่น จังหวัดนั้นก็จะได้รับงบประมาณช่วยเหลือจากผมน้อยว่าจังหวัดอื่นและรับทีหลังเพื่อน"

 

 

     ทั้งนี้ นายชัย ราชวัตร ยังระบุเพิ่มเติมอีกว่า หลังทราบชัยชนะในการเลือกตั้งแล้ว นายโดนัลด์ ทรัมป์ ได้ขึ้นเวทีและแสดงสุนทรพจน์ ที่ว่า "ข้าพเจ้าจะทำหน้าที่ดูแลชาวอเมริกันทุกคนโดยเสมอเท่าเทียมกัน ไม่ว่าท่านจะลงคะแนนให้ข้าพเจ้าหรือไม่" ซึ่งแตกต่างกับอดีตผู้นำรัฐบาลไทย ที่ชนะการเลือกตั้งแล้วประกาศว่า "จังหวัดไหนลงคะแนนให้ผมน้อยกว่าจังหวัดอื่น จังหวัดนั้นก็จะได้รับงบประมาณช่วยเหลือจากผมน้อยว่าจังหวัดอื่นและรับทีหลังเพื่อน"

 

 

เรียบเรียง : กำพลาภร สำนักข่าวทีนิวส์

ขอบคุณข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า