- 25 พ.ย. 2559
ติดตามข้อมูลเพิ่มเติม www.tnews.co.th
อีกหนึ่งประเด็นร้อนที่หลายคนให้ความสนใจแต่ไม่ได้มีการพูดถึงนัก ก็คือเรื่องของความคืบหน้าการจัดทำร่างพ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญของคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ ซึ่งมีการกำหนดไว้ในมาตรา 67 ของร่างรัฐธรรมนูญที่ผ่านการลงประชามติไปก่อนหน้านี้
ล่าสุด นายมีชัย ฤชุพันธุ์ ประธานกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) ได้พูดถึง การพิจารณาร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง ว่า ขณะนี้ได้มีการปรับแก้ถึงบทลงโทษนักการเมืองซื้อขายตำแหน่งแล้ว โดยเบื้องต้นจะยึดหลักของประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 149 สำหรับข้าราชการทั่วไปที่ทำผิดใน 3 ระดับ คือ จำคุก 5-10 ปี , จำคุกตลอดชีวิต หรือ ประหารชีวิต เพื่อไม่ให้โทษรุนแรงเกินไป
ขณะเดียวกันเมื่อตรวจสอบกับประมวลกฎหมายอาญามาตรา 149 ว่าด้วยความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ มีสาระสำคัญระบุว่า “ ผู้ใดเป็นเจ้าพนักงาน สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งรัฐ สมาชิกสภาจังหวัด หรือ สมาชิกสภาเทศบาล เรียก รับ หรือยอมจะรับทรัพย์สิน หรือประโยชน์อื่นใดสำหรับตนเองหรือผู้อื่นโดยมิชอบ เพื่อกระทำการหรือไม่กระทำการอย่างใดในตำแหน่ง ไม่ว่าการนั้นจะชอบหรือมิชอบด้วยหน้าที่ ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ห้าปีถึงยี่สิบปี หรือจำคุกตลอดชีวิต และปรับตั้งแต่สองพันบาทถึงสี่หมื่นบาท หรือประหารชีวิต”
ชัดเจนว่าในส่วนบทลงโทษสำหรับบุคคลที่เกี่ยวข้องกับการซื้อขายตำแหน่ง จะเป็นไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 149 ซึ่งมีบทลงโทษสูงสุดถึงขั้นประหารชีวิต และทั้งหมดจะเป็นไปตามการพิจารณาของกระบวนการยุติธรรมเป็นผู้ชี้ขาด
ก่อนหน้านั้น "สวนดุสิตโพล" มหาวิทยาลัยสวนดุสิต เคยเปิดเผย ผลสำรวจความคิดเห็นประชาชน ถึงการดำเนินการกับนักการเมืองทีมีพฤติการณ์ทุจริตคอร์รัปชั่น โดยส่วนใหญ่ หรือ ร้อยละ 80.82 เห็นว่าถ้ามีการกระทำผิดจริง ก็ต้องได้รับการลงโทษตามกฎหมาย และร้อยละ 76.95 เห็นควรว่าจะต้องมีการดำเนินการด้วยความโปร่งใส ยุติธรรม ไม่เลือกปฏิบัติ
ส่วนความเห็นของประชาชนว่าด้วยการลงโทษนักการเมืองที่มีการกระทำทุจริตคอร์รัปชั่นไม่ว่าจะเป็นเหตุกรณีใดสมควรหรือไม่ พบว่าประชาชนส่วนใหญ่หรือร้อยละ 78.01 เห็นว่าเป็นเรื่องสมควร เพราะบ้านเมืองมีกฎหมาย คนทำผิดก็ต้องได้รับการลงโทษ ถือว่าเป็นตัวอย่างสำคัญให้กับบุคคลอื่นๆ ฯลฯ โดยมีเพียงร้อยละ 9.93 เท่านั้นที่เห็นว่าไม่สมควร เพราะ อาจก่อให้เกิดความขัดแย้งมากขึ้น มองว่าเป็นการเลือกปฏิบัติ ควรแก้ไขที่ระบบการทำงานมากกว่า ฯลฯ
ก็ต้องติดตามกันต่อไปว่าเมื่อมีบทบทบัญญัติของกฎหมายสำหรับการดำเนินการกับนักการเมืองที่มีพฤติการณ์ซื้อขายตำแหน่งแล้ว ในทางปฏิบัติจะดำเนินการได้จริงหรือไม่
เพราะในแวดวงการเมืองแม้จะเป็นที่รู้กันว่ามีกรณีนี้เกิดขึ้น แต่ต้องยอมรับว่าโดยวิธีการที่นักการเมืองนำใช้ก็ไม่สามารถจะชี้ชัดความผิดได้เหมือนการซื้อขายตำแหน่งข้าราชการอื่น ๆ โดยเฉพาะกับแวดงวงข้าราชการตำรวจ
ขณะที่อีกสาระหนึ่งของบทบัญญัติกฎหมายประกอบร่างรัฐธรรมนูญ นายมีชัย ฤชุพันธุ์ ในฐานะประธานกรธ. ยังได้อธิบายถึงกรอบกฎหมายกฎหมายลูกว่าด้วยพรรคการเมือง ด้วยว่า ในส่วนของเนื้อหารายละเอียดยังยึดตามร่างเดิมและเปิดการรับฟังความเห็น โดยเฉพาะการจัดตั้งพรรคการเมือง ที่กรธ.พยายามให้สมาชิกพรรคการเมืองมีส่วนร่วมในการเป็นเจ้าของพรรค เช่น การจ่ายค่าสมาชิกพรรคที่พรรคต้องจัดเก็บมาเป็นทุนประเดิมพรรค รวมถึงให้ประชาชนมีส่วนร่วมในพรรคการเมืองในฐานะสมาชิกพรรค
โดยจุดหลัก ๆ ก็คือการให้ประชาชนในฐานะสมาชิกพรรคมีสิทธิในการร่วมเป็นเจ้าของพรรคมากขึ้น ทั้งการเลือกหัวหน้าพรรค คณะกรรมการบริหารพรรค และการส่งผู้สมัครลงเลือกตั้ง เพราะเมื่อสมาชิกพรรคมีบทบาทในการจ่ายเงินค่าสมาชิกพรรค สมาชิกพรรคก็ควรต้องมีบทบาทในการกำกับพรรค เพราะถือเป็นส่วนสำคัญของการกระบวนการมีส่วนร่วมตามวิถีประชาธิปไตย ส่วนการบริจาคเงินให้พรรคการเมืองนั้นยังคงสามารถทำได้แต่ต้องแจกแจงรายละเอียดเป็นลายลักษณ์อักษรให้ชัดเจน
อย่างไรก็ตามนายมีชัย ย้ำด้วยว่า การจัดทำกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญทั้งหมดจะยังยึดตามโรดแมปเดิม เพียงแต่จะทำให้เสร็จสิ้นสำหรับกฎหมายลูก 2 ฉบับแรก คือ ร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง และ ร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วย กกต. จากนั้นจะดำเนินการในส่วนที่เหลือต่อไป
ทั้งนี้สำหรับพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ หรือ กฎหมายลูกนี้ ก็คือกฎหมายที่มีสถานะสูงรองจากรัฐธรรมนูญ และมีสถานะสูงกว่าพระราชบัญญัติทั่ว ๆ ไป
ซึ่งโดยหลักใหญ่ใจความก็เพี่อทำให้แนวทางการปฏิบัติตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยมีความชัดเจนมากยิ่งขึ้น
โดยตามเนื้อหาร่างรัฐธรรมนูญฉบับที่ผ่านการลงประชามติไปก่อนหน้านี้ ได้มีการกำหนดไว้ในมาตรา 67 ว่า หากร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้ผ่านการทำประชามติแล้ว ยังต้องจัดทำพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ ขึ้นมาอีกอย่างน้อย 10 ฉบับ คือ
1. พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร
2. พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา
3. พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยคณะกรรมการการเลือกตั้ง
4. พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง
5. พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ
6. พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีอาญาของผู้ดํารงตําแหน่งทางการเมือง
7. พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยผู้ตรวจการแผ่นดิน
8. พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต
9. พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการตรวจเงินแผ่นดิน
10. พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ
และถ้าจัดหมวดหมู่ของ พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญ ทั้ง 10 ฉบับ อาจแบ่งออกเป็นสองประเภท คือ ฉบับที่ 1-4 เป็น พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญ ที่เกี่ยวกับการเลือกตั้ง ถ้าไม่มีกฎหมายทั้ง 4 ฉบับนี้ ก็ไม่อาจจัดการเลือกตั้งได้ ส่วนฉบับที่ 5-10 เป็นกฎหมายที่จะกำหนดอำนาจหน้าที่ขององค์กรอิสระที่ทำหน้าที่ตรวจสอบอำนาจรัฐ
ขณะที่ในบทเฉพาะกาล มาตรา 267 กำหนดด้วยว่า ให้คณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ ชุดของมีชัย ฤชุพันธุ์ นี้ อยู่ปฏิบัติหน้าที่ต่อ เพื่อจัดทํา พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญ ทั้ง 10 ฉบับ ให้เสร็จภายในระยะเวลา 240 วัน หรือ 8 เดือน นับตั้งแต่รัฐธรรมนูญถูกประกาศใช้ เพื่อเสนอต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ให้พิจารณาและประกาศใช้