ไม่เชื่อบาป..ต้องเชื่อกรรม!!! ย้อนรอย"สาธิต รังคศิริ" ที่ถูกปปช.ส่งฟ้องยึดทรัพย์  เคยมีส่วนปล่อยโอ๊ค-เอม-ทักษิณลอยนวลจ่ายภาษีหุ้นชินคอร์ป???

ติดตามรายละเอียด deeps.tnews.co.th

ถือเป็นอีกหนึ่งกรณีฉาวที่เกิดขึ้นกับข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ของประเทศ  กับการที่คณะกรรมการ ป.ป.ช. ได้พิจารณารายงานผลการไต่สวนข้อเท็จจริงแล้วเห็นว่า นายสาธิต รังคสิริ  เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งอธิบดีกรมสรรพากร ร่ำรวยผิดปกติ โดยมีทรัพย์สินมากผิดปกติหรือมีทรัพย์สินเพิ่มขึ้นมากผิดปกติ  ที่อยู่ในชื่อของนายสาธิต คู่สมรส บุตร บริษัท สิริกาญจนา จำกัด และบุคคลภายนอก

         

รวมทั้งมีมติให้ส่งรายงาน เอกสาร  และความเห็นไปยังอัยการสูงสุด (อสส.) เพื่อยื่นคำร้องต่อศาล ซึ่งมีเขตอำนาจพิจารณาพิพากษาคดี เพื่อขอให้ศาลสั่งให้ทรัพย์สินของนายสาธิต รวมมูลค่า 714,938,144.77 บาท ตกเป็นของแผ่นดิน และแจ้งให้ผู้บังคับบัญชาของนายสาธิตสั่งลงโทษไล่ออกหรือปลดออก โดยให้ถือว่ากระทำความผิดฐานทุจริตต่อหน้าที่ ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2542 มาตรา 80 (4)

 

ปัจจุบันนอกเหนือจากการที่นายสาธิตจะถูกปปช.เสนอคำร้องให้ยึดทรัพย์มูลค่ารวมกว่า 700 ล้านบาทแล้ว  ตัวนายสาธิตยังถูกไล่อออกจากราชการตามมติคณะอนุกรรมการข้าราชการพลเรือน กระทรวงการคลัง หรือ อ.ก.พ.กระทรวงการคลัง ที่มีนายอภิศักดิ์ ตันติวรวงศ์ รมว.คลัง  เป็นประธาน

 

ไม่เชื่อบาป..ต้องเชื่อกรรม!!! ย้อนรอย"สาธิต รังคศิริ" ที่ถูกปปช.ส่งฟ้องยึดทรัพย์  เคยมีส่วนปล่อยโอ๊ค-เอม-ทักษิณลอยนวลจ่ายภาษีหุ้นชินคอร์ป???

         

ส่วนทรัพย์สินที่ร่ำรวยผิดปกติ ดังนี้  

 

1.รายการสั่งซื้อทองคำแท่งในชื่อของนายสาธิต รังคสิริ รวมมูลค่า 607,239,100 บาท

2.เงินฝากในบัญชีเงินฝากธนาคารในชื่อคู่สมรส จำนวน 2 บัญชี รวมเป็นเงิน 3,570,000 บาท

3.เงินลงทุนในหลักทรัพย์ที่ซื้อผ่านบัญชีซื้อขายหลักทรัพย์ในชื่อคู่สมรส มูลค่า 435,100 บาท

4.เงินฝากในบัญชีธนาคารในชื่อบุตร จำนวน 4 บัญชี รวมเป็นเงิน 5,703,034.77 บาท

5.เงินลงทุนในบริษัทจำกัดในชื่อบุตร จำนวน 6 แห่ง รวมมูลค่า 15,733,300 บาท

6.เงินหลักประกันที่มีการนำฝากเข้าบัญชีซื้อขายหลักทรัพย์ในชื่อบุตร จำนวน 7,675,350 บาท 7.ที่ดินในชื่อบุตรที่ตั้งอยู่ในจังหวัดหนองคาย สมุทรปราการ นครราชสีมา จำนวน 5 แปลง รวมมูลค่า 22,554,000 บาท

8.รถยนต์ยี่ห้อ LEXUS รุ่น RX450h Premium MR (ปี ค.ศ.2013) เลขทะเบียน 1 กล-0974 กรุงเทพมหานคร ที่อยู่ในชื่อบุตร มูลค่า 1,000,000 บาท

9.ที่ดินในชื่อ บริษัท สิริกาญจนา จำกัด ที่ตั้งอยู่ที่อำเภอปากช่อง จังหวัดนครราชสีมา จำนวน 1 แปลง มูลค่า 46,000,000 บาท

10.เงินฝากในบัญชีเงินฝากธนาคารของบุคคลภายนอก จำนวน 1 บัญชี เป็นเงิน 5,028,260

         

 

ส่วนความผิดที่เป็นผลให้นำมาสู่การฟ้องให้ยึดทรัพย์ของนายสาธิตดังกล่าว   เป็นผลมาจากก่อนหน้านี้ คณะกรรมการ ป.ป.ช. ได้มีมติชี้มูลความผิดทางวินัยอย่างร้ายแรง และชี้มูลความผิดทางอาญากับนายสาธิต และนายศุภกิจ ริยะการ อดีตสรรพากรพื้นที่กรุงเทพฯ 22 ฐานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 กรณีทุจริตคืนภาษีมูลค่าเพิ่ม 4.3 พันล้านบาท

 

ภายหลังคณะกรรมการ ป.ป.ช. ตรวจสอบพบว่า นายสาธิต ได้รับผลประโยชน์โดยนำเงินที่บริษัทเอกชนขอคืนภาษีมูลค่าเพิ่มจำนวนประมาณ 179 ล้านบาท ไปซื้อทองคำแท่ง และนายสาธิตยังมีชื่อเป็นผู้มีกรรมสิทธิ์ในทองคำแท่งดังกล่าว  โดยไม่ปรากฏในบัญชีทรัพย์สินที่ต้องยื่นต่อ ป.ป.ช. ก่อนที่คณะกรรมการ ป.ป.ช.จะไต่สวนเพิ่มเติม  และยังพบว่ามีทรัพย์สินมูลค่าทั้งหมดประมาณ 600 ล้านบาทที่ไม่ได้มีการแจ้งบัญชีทรัพย์สินจึงถูกคำสั่งอายัดทรัพย์สินไว้ทั้งหมด

ประเด็นน่าสนใจก็คือจากการตรวจสอบย้อนหลังกลับไปพบว่านายสาธิต  รังคศิริ   ในฐานะอธิบดีกรมสรรพากร  (ขณะนั้น)  ยังถือเป็นคีย์เวิร์ดหนึ่งที่ทำให้นายพานทองแท้   และ น.ส.พินทองทา  ชินวัตร  (ในขณะนั้น)   รวมถึง  นายทักษิณ  ชินวัตร   และคุณหญิงพจมาน  ณ ป้อมเพชร   รอดพ้นจากการถูกเก็บเงินภาษีการซื้อขายหุ้นชินคอร์ป    กับกลุ่มทุนเทมาเส็ก  มูลค่าสูงถึง   12,000  ล้านบาท

 

โดยจุดเริ่มต้นกรณีดังกล่าวเกิดขึ้นเมื่อ   นางจิตรมณี  สุวรรณพูล รองอธิบดีกรมสรรพากร ในฐานะโฆษกกรมสรรพากร   (ในขณะนั้น)   ได้ออกมาแถลงว่า   เนื่องจากศาลภาษีกลางได้มีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 29 ธ.ค. 2553 ว่านายพานทองแท้และน.ส.พินทองทา   ไม่ใช่เจ้าของหุ้นชินคอร์ปตัวจริง   โดยอ้างอิงตามคำพิพากษาของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรง ตำแหน่งทางการเมืองพิพากษา  ที่ระบุว่า  นายทักษิณ ชินวัตรและคุณหญิงพจมาน ณ ป้อมเพชร  เป็นเจ้าของหุ้นชินคอร์ปที่แท้จริง  จึงมีความจำเป็นต้องคืนเงินและทรัพย์สิน มูลค่ากว่า 12,000 ล้านบาทที่อายัดจากนายพานทองแท้และน.ส.พิณทองทา

 

ไม่เชื่อบาป..ต้องเชื่อกรรม!!! ย้อนรอย"สาธิต รังคศิริ" ที่ถูกปปช.ส่งฟ้องยึดทรัพย์  เคยมีส่วนปล่อยโอ๊ค-เอม-ทักษิณลอยนวลจ่ายภาษีหุ้นชินคอร์ป???

(พานทองแท้ - พินทองทา  ชินวัตร)

 

อย่างไรก็ตามประเด็นที่ถือเป็นจุดค้างคามาจนถึงทุกวันนี้ก็คือ   กรมสรรพากร และข้าราชการกระทรวงการคลังได้พยายามอย่างถึงที่สุดหรือไม่  เนื่องจากพบว่าแม้ศาลภาษีกลางจะมีคำวินิจฉัยว่านายพานทองแท้และน.ส.พินทองทาไม่ใช่เจ้าของหุ้นชินคอร์ปในสัดส่วนตามที่นายทักษิณกล่าวอ้าง แต่โดยบริบทแล้วกรมสรรพากรก็ควรจะยื่นคำร้องขออุทธรณ์พิจารณาคดีให้ถึงที่สุด แต่ปรากฏว่ากรมสรรพากรเลือกทำในสิ่งตรงข้ามคือ "ไม่อุทธรณ์คำสั่งศาลตามสิทธิ์" 

 

ขณะเดียวกันถึงแม้นางเสาวนีย์ กมลบุตร รองปลัดกระทรวงการคลัง ในฐานะประธานคณะกรรมการวินิจฉัยภาษีอากรจะมีความเห็นไปในทิศทางเดียวกัน ว่ามีความจำเป็นต้องยึดตามคำสั่งศาลว่าหุ้นชินคอร์ปเป็นของนายทักษิณ  แต่ก็มีความเห็นเพิ่มเติมว่าเป็นขอบเขตอำนาจหน้าที่ของอธิบดีกรมสรรพากรสามารถจะวินิจฉัยว่าจะเก็บภาษีการซื้อขายหุ้นชินคอร์ปจากนายทักษิณ  แทนนายพานทองแท้และน.ส.พิณทองทาได้หรือไม่

 

ไม่เชื่อบาป..ต้องเชื่อกรรม!!! ย้อนรอย"สาธิต รังคศิริ" ที่ถูกปปช.ส่งฟ้องยึดทรัพย์  เคยมีส่วนปล่อยโอ๊ค-เอม-ทักษิณลอยนวลจ่ายภาษีหุ้นชินคอร์ป???

 

แต่ปรากฏรายงานข่าวว่า   นายสาธิต รังคสิริ อธิบดีกรมสรรพากร  (ในขณะนั้น)  ระบุผ่านสื่อมวลชนว่า   “เรื่องภาษีหุ้นชินคอร์ปฯ ตอนนี้ถือว่าจบแล้ว ต่อจากนี้ไปกรมสรรพากรจะไม่มีการประเมินภาษีคนในตระกูลชินวัตรอีก  เนื่องจากผลการตัดสินของคณะกรรมการวินิจฉัยภาษีอากรถือเป็นที่สิ้นสุด ซึ่งคณะกรรมการฯก็มีมติเป็นเอกฉันท์ ยืนตามคำพิพากษาของศาลทั้ง 2 ศาล

 

ส่วนเรื่องการประเมินภาษี นายทักษิณ คณะกรรมการฯ มอบหมายให้เป็นหน้าที่ของกรมสรรพากรเป็นผู้วินิจฉัย  และเมื่อกรมสรรพากรพิจารณาแล้วว่าไม่ต้องเสียภาษี  ตรงนี้ก็ถือเป็นที่สิ้นสุดด้วยเช่นกัน เพราะกรมสรรพากรทำตามผลการวินิจฉัยของคณะกรรมการฯ อีกทั้งหากกรมสรรพากรจะอุทธรณ์จะมีค่าธรรมเนียม 23 ล้านบาท ดังนั้นกรมสรรพากรจึงหารือไปยังกระทรวงการคลัง ซึ่งกระทรวงการคลังเห็นว่าไม่ควรอุทธรณ์ ?? 

 

 

ไม่เชื่อบาป..ต้องเชื่อกรรม!!! ย้อนรอย"สาธิต รังคศิริ" ที่ถูกปปช.ส่งฟ้องยึดทรัพย์  เคยมีส่วนปล่อยโอ๊ค-เอม-ทักษิณลอยนวลจ่ายภาษีหุ้นชินคอร์ป???

 แก้วสรร  อติโพธิ

 

ด้วยเหตุผลข้ออ้างดังกล่าวทำให้  นายแก้วสรร อติโพธิ   อดีตคณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแต่รัฐ(คตส.)  ต้องออกมาวิพากษ์วิจารณ์การทำหน้าที่ของอธิบดีกรมสรรพากร   เพราะหากมีความเห็นไม่ยื่นอุทธรณ์ภาษีนายพานทองแท้และน.ส.พินทองทา ก็ควรเรียกเก็บเงินภาษีจาก นายทักษิณและคุณหญิงพจมาน ทันที หรือ  หากคิดว่าเรียกเก็บภาษีจากนายทักษิณไม่ได้ ก็ต้องอุทธรณ์เก็บภาษีจากบุตรทั้งสองคนให้ถึงที่สุดเพื่อไม่ให้รัฐเกิดความเสียหาย
       
       

“ไม่เข้าใจทำไมกรมสรรพากรไม่เก็บจากนายพานทองแท้และ น.ส.พินทองทาแล้ว ยังมาบอกการเก็บภาษีจาก พ.ต.ท.ทักษิณต้องขอดูก่อน ซึ่งสุดท้ายแล้วถ้ากรมสรรพากรเก็บภาษีหุ้น 1.2 หมื่นล้านบาทจากคนในครอบครัวชินวัตรไม่ได้ ผู้บริหารกระทรวงการคลังและกรมสรรพากรน่าจะมีความผิดฐานละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ตามมาตรา 157 ทำให้รัฐเกิดความเสียหาย”

 

ไม่เชื่อบาป..ต้องเชื่อกรรม!!! ย้อนรอย"สาธิต รังคศิริ" ที่ถูกปปช.ส่งฟ้องยึดทรัพย์  เคยมีส่วนปล่อยโอ๊ค-เอม-ทักษิณลอยนวลจ่ายภาษีหุ้นชินคอร์ป???

ภาพประวัติศาสตร์  :  นายสาธิต รังคศิริ มอบดอกไม้แสดงความยินดีในโอกาสที่นางเบญจา หลุยเจริญ  รับตำแหน่งรมช.คลัง

 

 

อย่างไรก็ตามกับความซ่อนเร้นเรื่องการซื้อขายหุ้นชินคอร์ของบุคคลในครอบครัวชินวัตรที่สุดก็ไม่อาจเลี่ยงพ้นความผิดได้  เมื่อศาลอาญาแผนกคดีทุจริตและประพฤติมิชอบของเจ้าหน้าที่รัฐ   ได้พิพากษา นางเบญจา หลุยเจริญ อดีต รมช.คลัง สมัยรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร และอดีตรองอธิบดีกรมสรรพากร, น.ส.จำรัส แหยมสร้อยทอง อดีต ผอ.สำนักกฎหมาย, น.ส.โมรีรัตน์ บุญญาศิริ อดีต ผอ.สำนักกฎหมาย, นายกริช วิปุลานุสาสน์ ผอ.สำนักกฎหมาย กรมสรรพากร   คนละ 3  ปี  โดยไม่รอลงอาญา

 

ไม่เชื่อบาป..ต้องเชื่อกรรม!!! ย้อนรอย"สาธิต รังคศิริ" ที่ถูกปปช.ส่งฟ้องยึดทรัพย์  เคยมีส่วนปล่อยโอ๊ค-เอม-ทักษิณลอยนวลจ่ายภาษีหุ้นชินคอร์ป???

แฟ้มภาพ : นางเบญจา หลุยเจริญ ฟังคำพิพากษาศาลอาญาฯ

 

และ จำคุก  น.ส.ปราณี เวชพฤกษ์พิทักษ์ คนใกล้ชิด เลขานุการส่วนตัวของคุณหญิงพจมาน ณ ป้อมเพชร อดีตภรรยานายทักษิณ เป็นเวลา 2 ปี  โดยไม่รอลงอาญาเช่นเดียวกัน   ฐานร่วมกันเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่ หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ราชการ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157

 

ภายหลังจากนางเบญจาทำหนังสือตอบกลับ น.ส.ปราณี  เมื่อวันที่  ลงวันที่ 7 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2538  อันเป็นเหตุทำให้  นายพานทองแท้ และ น.ส.พินทองทา ชินวัตร  เสียภาษีอากร หรือเสียภาษีน้อยกว่าที่จะต้องเสีย และได้รับประโยชน์ที่มิควร โดยชอบด้วยกฎหมาย จากการที่นายพานทองแท้ และ น.ส.พินทองทา ซื้อหุ้นบริษัทชินคอร์ปอเรชั่น จำกัด เมื่อปี 2549 คนละ 164,600,000 หุ้น ในราคาพาร์หุ้นละ 1 บาท ขณะที่ราคาตลาดหุ้นละ 49.25 บาท  

 

ทั้ง ๆ ที่ต้องถือว่านายพานทองแท้ และ น.ส.พินทองทา ถือเป็นผู้ได้รับเงินพึงประเมิน ตามประมวลรัษฎากร มาตรา 39 และมีหน้าที่ต้องเสียภาษีของส่วนต่างราคาหุ้น คนละ 7,941,950,000 บาท  โดยการกระทำดังกล่าวทำให้กรมสรรพากร กระทรวงการคลัง และราชการเกิดความเสียหาย

 

เรียบเรียง :  ชัชรินทร์   สำนักข่าวทีนิวส์