- 26 พ.ย. 2559
ติดตามรายละเอียด deeps.tnews.co.th
ถือเป็นประโยคสำคัญที่ความหมายยิ่งสำหรับประเทศไทยและคนไทย เมื่อพล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคสช. ได้ปาฐกถาเนื่องในงานหอการค้าร่วมต่างประเทศในประเทศไทยความตอนหนึ่งว่า "วันนี้ผมขอเป็นตัวแทนคนไทยทุกคน และในนามรัฐบาลขอขอบคุณในน้ำใจที่ทุกคนมีให้เราในยามที่เราอยู่ในภาวะความเสียใจและการแสดงความอาลัยขณะนี้ต่อการเสด็จสวรรคตของพระองค์ และการที่เราได้มาพบกันวันนี้ผมถือว่าเราคือเพื่อนแท้และเป็นมิตรในยามยาก ในส่วนของการแสดงความจงรักภักดีต่อพระองค์ผมขอยืนยันว่าไม่ได้เกิดจากการบังคับหรือการใช้กฎหมายใดๆ ทั้งสิ้น แต่เกิดจากใจของคนไทยเอง แต่ก็อาจจะมีอยู่บ้างในบางส่วน
ทั้งนี้คนไทยทั้งประเทศซาบซึ้งในพระราชกรณียกิจที่พระองค์ทรงทำไว้ให้เราตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา รัฐบาลนี้มีเจตนารมณ์ที่จะมุ่งมั่นและนำพาประเทศ และรัฐบาลนี้มีเจตนารมณ์อย่างแน่วแน่ที่จะมุ่งมั่นเดินหน้าพัฒนาประเทศไปสู่ความมั่นคง มั่งคั่งและยั่งยืน เพื่อสืบสานพระราชปณิธานและเจริญตามรอยพระยุคลบาทของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ด้วยการทำความดี เพื่อแผ่นดิน และน้อมนำพระราชดำรัส พระบรมราโชวาทที่ได้ทรงพระราชทานไว้ในโอกาสต่างๆ และปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง รวมทั้งหลักการทรงงานไปถือปฏิบัติ เพื่อให้เกิดความสุข ความเจริญในชีวิต และความสงบสุขในสังคมและประเทศชาติ รวมทั้งร่วมกันรักษาเอกราช อธิปไตย เพื่อความเจริญรุ่งเรืองของชาติบ้านเมืองต่อไป
และขอยืนยันกับทุกคนว่าไม่ต้องกังวลกับสถานการณ์ของไทยเพราะทุกอย่างยังคงมีเสถียรภาพเช่นเดิมทุกด้าน และใช้เวลาอีกไม่นานนักเราก็จะมีพระมหากษัตริย์พระองค์ใหม่และเราก็จะทำหน้าที่เหมือนเช่นวันที่ผ่านมาในทุกเรื่องในหน้าที่ของรัฐบาล"
ขณะเดียวกัน พล.อ.ประยุทธ์ ยังได้ตอบคำถามสื่อมวลชนกรณีสนช.จะประชุมในวันที่ 29 พ.ย. มีวาระอะไรพิเศษหรือไม่ โดยพล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า ก็เป็นการประชุมหลังจากที่คณะรัฐมนตรีประชุมเสร็จ ทุกอย่างเป็นไปตามขั้นตอน ซึ่งขั้นตอนสำคัญทุกเรื่อง ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง ย้ำว่าทุกอย่างเป็นไปตามขั้นตอน อย่าไปพูดอะไรให้วุ่นวายวันที่ 29 พ.ย.ประชุมเสร็จก็ส่งต่อให้ที่ประชุม สนช.ซึ่งทุกอย่างก็เป็นไปตามขั้นตอนเหมือนเดิม …
จากคำว่า “อีกมานานนักเราจะมีพระมหากษัตริย์พระองค์ใหม่” และ กำหนดการประชุมสนช.ในวันที่ 29 พ.ย. พบว่าตามบทบัญญัติของกฎหมายรัฐธรรมนูญปัจจุบันมีรายละเอียดเกี่ยวข้องกับประเด็นที่อาจเกี่ยวเนื่องกับวาระสำคัญดังกล่าวตามรายละเอียดต่อไปนี้
เริ่มจากปัจจุบันประเทศไทย ได้ถือเอาบทบัญญัติ รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ฉบับชั่วคราว พ.ศ. 2557 เป็นกฎหมายสูงสุดสุดปกครองประเทศ ขณะที่ในมาตรา 2 ระบุว่าประเทศไทยมีการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข หน้า 3 เล่ม 131 ตอนที่ 55 ก ราชกิจจานุเบกษา 22 กรกฎาคม 2557 ให้บทบัญญัติของหมวด 2 พระมหากษัตริย์ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 ซึ่งยังคงมีผลใช้บังคับอยู่ตามประกาศคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ฉบับที่ 11/2557 ลงวันที่ 22 พฤษภาคม พุทธศักราช 2557 ยังคงใช้บังคับต่อไปเป็นส่วนหนึ่งของรัฐธรรมนูญนี้และภายใต้บังคับมาตรา 43 วรรคหนึ่ง ที่ใดในบทบัญญัติดังกล่าวอ้างถึงรัฐสภาหรือประธานรัฐสภา ให้หมายถึงสภานิติบัญญัติแห่งชาติหรือประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติตามรัฐธรรมนูญนี้ แล้วแต่กรณี
ขณะที่ ประกาศคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ฉบับที่ 11 / 2557 เรื่อง การสิ้นสุดของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย เพื่อความสงบเรียบร้อยในการปกครองประเทศ จึงให้ยกเลิกประกาศคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ฉบับที่ 5 / 2557 ลงวันที่ 22 พฤษภาคม พุทธศักราช 2557 เรื่อง การสิ้นสุดชั่วคราวของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย และให้ใช้ข้อความตามประกาศฉบับนี้
1. รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 สิ้นสุดลง ยกเว้น หมวด 2
2. คณะรัฐมนตรีรักษาการ สิ้นสุดลง
3. วุฒิสภา ยังคงปฏิบัติหน้าที่ตามจำนวนสมาชิกวุฒนิสภาที่มีอยู่ ณ วันที่ประกาศฉบับนี้ มีผลบังคับใช้งดรายการประจำของสถานี และให้ถ่ายทอด ออกรายการ จากสถานีวิทยุโทรทัศน์กองทัพบก
4. ศาลทั้งหลาย คงมีอำนาจดำเนินการพิจารณาและพิพากษาอรรถคดีตามบทกฎหมาย และประกาศคณะรักษาความสงบแห่งชาติ
5. องค์กรอิสระ และองค์กรอื่น ตามรัฐธรรมนูญ พุทธศักราช 2550 ยังคงปฏิบัติหน้าที่ต่อไป
ดังนั้นถึงแม้คสช.จะเข้าบริหารประเทศแทนรัฐบาลจากการเลือกตั้งทั่วไป แต่ปัจจุบันประเทศไทยจึงยังคงยึดเอาหลักการสำคัญของบทบัญญัติรัฐธรรมนูญพ.ศ. 2550 ในหมวดสถาบันพระมหากษัตริย์ไว้เช่นเดิม โดยเฉพาะในหมวด 2 อาทิ
มาตรา 8 องค์พระมหากษัตริย์ทรงดำรงอยู่ในฐานะอันเป็นที่เคารพสักการะ ผู้ใดจะละเมิดมิได้ ผู้ใดจะกล่าวหาหรือฟ้องร้องพระมหากษัตริย์ในทางใด ๆ มิได้
มาตรา 9 พระมหากษัตริย์ทรงเป็นพุทธมามกะ และทรงเป็นอัครศาสนูปถัมภก
มาตรา 10 พระมหากษัตริย์ทรงดำรงตำแหน่งจอมทัพไทย
มาตรา 11 พระมหากษัตริย์ทรงไว้ซึ่งพระราชอำนาจที่จะสถาปนาฐานันดรศักดิ์และพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์
และสำคัญยิ่งกับสถานการณ์ปัจจุบัน คือ มาตรา 23 ในกรณีที่ราชบัลลังก์หากว่างลงและเป็นกรณีที่พระมหากษัตริย์ได้ทรงแต่งตั้งพระรัชทายาทไว้ตามกฎมณเฑียรบาลว่าด้วยการสืบราชสันตติวงศ์ พระพุทธศักราช 2467 แล้วให้คณะรัฐมนตรีแจ้งให้ประธานรัฐสภาทราบ และให้ประธานรัฐสภาเรียกประชุมรัฐสภาเพื่อรับทราบ และให้ประธานรัฐสภาอัญเชิญองค์พระรัชทายาทขึ้นทรงราชย์เป็นพระมหากษัตริย์สืบไป แล้วให้ประธานรัฐสภาประกาศให้ประชาชนทราบ
เรียบเรียงข่าว : ชัชรินทร์ สำนักข่าวทีนิวส์