วิถีทุนสามานย์!! " นักวิเคราะห์ คาด โดนัลด์ ทรัมป์" ไปไม่รอด จะถูกถอดถอน พ้นตำแหน่งผู้นำสหรัฐฯ เพราะผลประโยชน์ทับซ้อน

ติดตามรายละเอียด http://deeps.tnews.co.th/

นีลล์ เฟอร์กูสัน แห่งสถาบันฮูเวอร์ของมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด เคยคาดหมายเมื่อเดือนมิถุนายน ว่าทรัมป์ มีโอกาสดีที่จะชนะศึกเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ มากกว่าที่เหล่านักสังเกตการณ์ทั้งหลายบ่งชี้อย่างไรก็ตามในคำทำนายล่าสุด เฟอร์กูสัน บอกว่าภูมิหลังนักธุรกิจของว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ซึ่งเป็นส่วนสำคัญที่สนับสนุนให้เขาก้าวเข้าสู่ทำเนียบขาว ท้ายที่สุดแล้วจะกลายมาเป็นบ่อนทำลายตัวเขาเสียเอง บทความที่เขียนลงในซันเดย์ไทม์ส เฟอร์กูัน ระบุว่า นายโดนัลด์ ทรัมป์ ชูนโยบายหาเสียงในฐานะคนนอกแวดวงการเมืองและเน้นย้ำไหวพริบทางธุรกิจของเขาในการเรียกคะแนนจากผู้มีสิทธิ์ออกเสียง แต่เวลานี้ โดนัลด์ ทรัมป์ ได้ส่งสัญญาณต่างๆของการเอาผลประโยชน์ทางธุรกิจมาผสมปนเปกับหน้าที่ทางราชการ แม้เคยอ้างว่าเป้าหมายแรกคือบริหารประเทศและจะไม่สนใจในธุรกิจของตนเองก็ตาม

โดนัลด์ ทรัมป์ มีกิจการการค้ามากมายอยู่ทั่วโลก ด้วยหลายประเทศเหล่านั้นเกี่ยวข้องกับผลประโยชน์ทางยุทธศาสตร์ของอเมริกา ขณะที่เขาและครอบครัว ซึ่งมีส่วนร่วมอย่างใกล้ชิดกับทีมเปลี่ยนผ่านและบริหารอาณาจักรทรัมป์ ได้พบปะกับเหล่าพันธมิตรทางธุรกิจระหว่างประเทศทันทีหลังได้รับชัยชนะในศึกเลือกตั้งธุรกิจบางอย่างก่อความกังวลเกี่ยวกับผลประโยชน์ทับซ้อน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในตุรกี ประเทศซึ่งมีความสำคัญใหญ่หลวงในภูมิภาค ขณะที่ โดนัลด์ ทรัมป์ ปกป้องความเคลื่อนไหวของประธานาธิบดี เรเซป เทอยิบ เออร์โดกัน ที่ปราบปรามฝ่ายต่อต้านอย่างโหดเหี้ยม หลังมีความพยายามก่อรัฐประหารแต่ล้มเหลว เฟอร์กูสัน บอกว่า ว่าที่ประธานาธิบดีไม่มีพันธะทางกฎหมายในการส่งมอบธุรกิจให้ผู้อื่นดูแล ทำให้เสียงเรียกร้องให้เขาทำแบบนั้นก็ดูจะไร้ความหมายอย่างไรก็ตาม เฟอร์กูสัน ตั้งข้อสังเกตว่าโดยทั่วไปพวกนักธุรกิจมักเป็นนักการเมืองที่เลว เนื่องจากการจัดเก็บภาษีมันเป็นอะไรที่ง่ายดายกว่าการทำเงินจากธุรกิจ

"มันคือช่วงเวลากลืนไม่เข้าคายไม่ออก คณะผู้ปกครองแยกตัวออกจากชีวิตของประชาชนทั่วไป ท้ายที่สุดพวกเขาก็จะถูกกำจัด" เขากล่าว "ในอเมริกา เรียกกันว่าการถอดถอน เดโมแครตเหลือเวลาแค่ 2 ปีในการหาทางทวงคืนเสียงข้างมากในรัฐสภา ตามคำทำนาย หากพวกเขาทำสำเร็จ วันเวลาของการเป็นประธานาธิบดีของทรัมป์ ก็จะลดน้อยถอยลง" จากเรื่องราวข้างต้น จะเห็นได้ว่าท้ายที่สุดแล้ว โดนัลด์   ทรัมป์ ก็จะใช้วิถีแห่งทุนสามานย์ มาบริหารประเทศ และแยกไม่ออกระหว่าง ผลประโยชน์ของชาติ และ ผลประโยชน์ของตัวเองและพวกพ้อง ถึงเวลานั้นก็อาจจะมีผู้นำอีกประเทศที่ต้องหนีหัวซุกหัวซุน เหมือนอดีตผู้นำของไทย หรือไม่ ก็ต้องติดตามดูกันต่อไป