ทางออกสุดท้าย..พระธัมมชโย!!! "อัยการปรเมศวร์"  ฟันธงตรงประเด็น "ศิษย์ธรรมกาย" ควรเลิกขวางกระบวนการยุติธรรม !!?!!

ติดตามรายละเอียด deeps.tnews.co.th

สืบเนื่องจากการเจรจาต่อรองระหว่างผู้แทนพระธัมมชโยกับดีเอสไอ  จนมีการยื่นเสนอให้ดีเอสไอรับรองการให้ประกันตัวพระธัมมชโยเพื่อแลกกับการยอมเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมตามข้อกล่าวหาที่มีกับพระธัมมชโยและนำไปสู่หมายจับ 

 

ทางออกสุดท้าย..พระธัมมชโย!!! "อัยการปรเมศวร์"  ฟันธงตรงประเด็น "ศิษย์ธรรมกาย" ควรเลิกขวางกระบวนการยุติธรรม !!?!!

หรือคำขู่จะได้ผล!!! พระธัมมชโย ยอมมอบตัวแล้วหากDSIให้คำมั่นได้ประกันตัว ขณะอัยการชี้ดีเอสไอไม่เกี่ยวขึ้นอยู่ศาลจะให้ประกันหรือไม่ ???   http://deeps.tnews.co.th/contents/215470/

 

 

ล่าสุด นายปรเมศวร์ อินทรชุมนุม   รองอธิบดีอัยการสำนักงานคดีอาญา   ในฐานะรักษาการตำแหน่งรองอธิบดีสำนักงานชี้ขาดคดีอัยการสูงสุด   ได้เขียนอธิบายประเด็นดังกล่าในเฟซบุ๊ก  ระบุข้อความว่า  “ทางอออกของพระธัมมชโย และ DSI "    ...

 

ทางออกสุดท้าย..พระธัมมชโย!!! "อัยการปรเมศวร์"  ฟันธงตรงประเด็น "ศิษย์ธรรมกาย" ควรเลิกขวางกระบวนการยุติธรรม !!?!!

 

 

" คราวที่แล้วได้อธิบายการสั่งคดีของอัยการไปแล้วว่าทำไมต้อง “เห็นควรสั่งฟ้องพระธัมมชโย” วันนี้ขอเสนอแนวทางตามกฎหมายว่าเรื่องนี้ควรจะจบอย่างไร  การที่DSIจะใช้กำลังไม่ว่าจะเป็นเอาตำรวจหรือทหารเข้าไปทำการจับกุมพระธัมมชโย แม้เป็นเรื่องที่ชอบด้วยกฎหมาย แต่ผลที่ตามมาน่าจะเสียหายมากกว่าดังที่ท่านนายกพูดนั่นแหละ ครั้นไม่ดำเนินการอย่างใดเพื่อให้ได้ตัวพระธัมมชโยตามคำสั่งของอัยการก็จะทำให้การบังคับใช้กฎหมายไม่เป็นผล ไม่ว่าจะไปทางไหนไม่พ้นที่ DSI ไอจะตกเป็นจำเลยทางสังคมเป็นแน่แท้
สมมุติว่าถ้าเราได้ตัวพระธัมมชโยมาด้วย “การบุกเข้าไปจับกุม” หรือ “การมอบตัว” ของท่านเอง ขั้นตอนจะเป็นอย่างไร คำตอบอยู่ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา

 

 เริ่มด้วย DSI ต้องแจ้งสิทธิตามมาตรา ๗ เช่น สิทธิในการปรึกษากับทนายเป็นการเฉพาะตัว ให้ทนายเข้าฟังการสอบปากคำของพระธัมมชโย ได้รับการเยี่ยมจากญาติตามสมควร ได้รับการรักษาพยาบาลโดยเร็วเมื่อเกิดการเจ็บป่วย จากนั้นก็ถามชื่อตัว นามสกุล ที่อยู่ สัญชาติ บิดามารดา อายุ อาชีพ ที่อยู่ ทีเกิด และแจ้งให้ทราบข้อเท็จจริงที่เกี่ยวกับการกระทำที่กล่าวหา แล้วจึงแจ้งข้อกล่าวหาให้ทราบ (มาตรา ๑๓๔ วรรคแรก) และ DSI “ต้องให้โอกาสพระธัมมชโยที่จะแก้ข้อกล่าวหาและแสดงข้อเท็จจริงอันเป็นประโยชน์แก่ตนได้” (มาตรา ๑๓๔ วรรคสาม) และต้องถามว่าท่านมีทนายหรือไม่ ถ้าไม่มีและต้องการ รัฐก็ต้องจัดหาให้ (มาตรา ๑๓๔/๑ วรรคสอง) แค่นี้ก็ใช่ว่าจะจบในวันเดียว ถ้า DSI รวบรัดไม่ดำเนินการให้ มีหวังโดนข้อหาละเว้นการปฏิบัติตามหน้าที่ตามประมวลกฏหมายอาญา มาตรา ๑๕๗ แน่นอน ซึ่งถ้ายังสอบไม่เสร็จก็ยังส่งตัวให้อัยการไม่ได้ ดังนั้น DSI มีทางเลือกที่จะให้ปล่อยตัวชั่วคราว(ประกันตัว)เอง หรือจะส่งไปฝากขังที่ศาลก็ได้ ส่วนการปล่อยชั่วคราวก็เป็นเรื่องของศาล (มาตรา ๑๐๖) ตรงนี้ก็เป็นประเด็นอีก “จะจับสึกก่อนส่งศาล” หรือครับ

 คราวที่แล้วที่เป็นคดีก็ไม่มีการสึก หรือพระบางรูปท่าถูกดำเนินคดีก็อาจไม่จำเป็นต้องสึก เท่าที่เห็นที่ถูกจับสึกส่วนใหญ่จะเป็นความผิดคาหนังคาเขา เช่น ดื่มสุรา เสพยาบ้า หรือกระทำชำเรากันจะๆ เพราะการปล่อยตัวชั่วคราวเมื่อนำตัวไปฝากขังหรือฟ้องศาล เป็นอำนาจศาลที่พิจารณาอนุญาตหรือไม่อนุญาต ถ้าจับสึกแล้วศาลอนุญาตให้ปล่อยชั่วคราวล่ะ ใครจะรับผิดชอบ ก็ไม่มีความจำเป็นต้องสึก กฎหมายมิได้บังคับ ทั้งนี้การปล่อยชั่วคราวเป็นหลักที่ผู้ต้องหาต้องได้รับ ส่วนการควบคุมหรือคุมขังเป็นข้อยกเว้น

 

 

การที่ DSI หรือศาลจะสั่งไม่ปล่อยชั่วคราวต้องได้ความว่าพระธัมมชโยจะหลบหนี หรือจะไปยุ่งเหยิงกับพยานหลักฐาน หรือจะไปก่อเหตุอันตรายประการอื่น หรือหลักประกันไม่พอ (มาตรา ๑๐๘/๑) เห็นหรือยังครับว่าพอได้ตัวมาใช่ว่าจะเอาตัวไปส่งอัยการได้ทันที พออัยการรับตัวมาหรือได้คำให้การพระธัมมชโย ก็ต้องพิจารณาอีกครั้งว่าจะออกคำสั่งฟ้องตามความเห็นเดิมหรือจะสั่งไม่ฟ้องเพราะพยานหลักฐานที่พระธัมมชโยแสดงพิสูจน์ได้ว่าตนไม่ผิด ถ้าสั่งฟ้องและนำตัวไปฟ้องต่อศาล กระบวนการพิจารณากว่าจะพิสูจน์ว่า “พระธัมมชโยเป็นผู้กระทำความผิดตามที่ถูกกล่าวหา” คงต้องใช่เวลาเป็นปีนะครับ เพราะนายศุภชัยถูกฟ้องตั้งหลายคดี มีการกระทำหลายกรรม มูลค่าความเสียหายเท่าที่ฟ้องแล้วเกือบสองพันล้าน พยานกี่ร้อยปาก เอกสารกี่พันฉบับ เอาล่ะครับนี่คือข้อเท็จจริง
 

 

ที่นี้ถ้าศิษยานุศิษย์ทั้งหลายและพระธัมมชโยเองจะแสดงความสง่างาม ก็ไม่ควรขัดขวางกระบวนการยุติธรรม การภาวนาเพื่อถวายอาลัยต่อเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๙ ก็ทำไป ไม่เอามาอ้างเพื่อขวางการทำงานของ DSI การต่อสู้คดีของพระธัมมชโยซึ่งยังถือว่าเป็น “ผู้บริสุทธิ์” ตามรัฐธรรมนูญจนกว่าศาลจะพิพากษาก็ว่ากันไป ทั้งนี้เพื่อไม่เป็นเหตุให้วุ่นวายอันเป็นที่ระคายเคืองต่อการขึ้นครองราชย์ของเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๑๐ ก็มอบตัวเสีย เอารถเข็นผู้ป่วยไปรับท่าน

 

ส่วนบรรดาศิษย์ทั้งหลายก็ตั้งแถวส่ง ติดตามไปดู แล้วใช้สิทธิในการรักษาพยาบาลอย่างที่ว่า จากนั้นก็ดำเนินการไปตามปกติด้วยความเคารพซึ่งกันและกันระหว่างภิกษุสงฆ์กับฆราวาสจะดีกว่ามั๊ย ท่านธัมมชโยก็ยังคงอยู่ในสมณะเพศได้อีกนาน ส่วนคนที่ชอบพูดชักใบให้เรือเสีย ข่มขู่อย่างโน้นอย่างนี้ก็เลิกเถอะ ยิ่งไม่รู้แล้วพูดมากก็วุ่นวายมาก อีกฝ่ายก็ไม่ไว้วางใจ ต้องเข้าใจนะครับการบังคับใช้กฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาก็เพื่อรักษาความสงบของบ้านเมืองและเพื่อความยุติธรรมครับ”

 

เรียบเรียงข่าว  :  ชัชรินทร์  สำนักข่าวทีนิวส์