- 18 ธ.ค. 2559
ติดตามรายละเอียด deeps.tnews.co.th
ถือเป็นข่าวใหญ่ในแวดวงสาธารณสุขประเทศไทย เมื่อมีการรายงานข่าวว่าล่าสุด สำนักคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ หรือ ปปช. ได้ทำหนังสือแจ้งผลการพิจารณาข้อกล่าวหาที่มีต่อ นพ.วิทิต อรรถเวชกุล และ นพ. วิชัย โชควิวัฒน 2 อดีตผู้บริหารองค์การเภสัชกรรม ว่าทั้งสองบุคคลไม่มีความผิดตามข้อกล่าวหา !!!
โดยรายงานข่าวระบุว่า สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ได้ส่งหนังสือแจ้ง ถึงนพ.วิทิต อรรถเวชกุล อดีตผู้อำนวยการองค์การเภสัชกรรม ลงวันที่ 14 ธันวาคม 2559 ระบุว่า ตามหนังสือที่อ้างถึง คณะอนุกรรมการไต่สวน ได้แจ้งคำสั่งคณะกรรมการป.ป.ช. ที่ 158/2557 ลงวันที่ 17 มีนาคม 2557 แก้ไขคำสั่งแต่งตั้งคณะอนุกรรมการไต่สวน กรณีกล่าวหา นพ. วิทิต เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการ องค์การเภสัชกรรม และ นพ.วิชัย โชควิวัฒน เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งประธานกรรมการองค์การเภสัชกรรม ว่ากระทำความผิดฐานทุจริตต่อหน้าที่ หรือ กระทำความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ และกระทำความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ พ.ศ.2542 ในการจัดซื้อวัตถุดิบยาพาราเซตามอลขององค์การเภสัชกรรมไปให้ท่านทราบ ความมละเอียดแจ้งแล้วนั้น
คณะกรรมการ ป.ป.ช.พิจารณาแล้ว เห็นชอบตามความเห็นของคณะอนุกรรมการไต่สวนว่า จากการไต่สวนข้อเท็จจริง “ ไม่ปรากฏข้อเท็จจริง และพยานหลักฐานเพียงพอที่จะฟังได้ว่า” นพ.นายวิทิต อรรถเวชกุล เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการองค์การเภสัชกรรม ผู้ถูกกล่าวหาที่ 1 และ นพ. วิชัย โชควิวัฒน เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งประธานกรรมการองค์การเภสัชกรรม ผู้ถูกกล่าวหาที่ 2 “ ได้กระทำความผิดตามที่กล่าวหา ข้อกล่าวหาไม่มีมูล จึงให้ข้อกล่าวหาตกไป”
ทั้งนี้ตามรายงานข่าวระบุด้วยว่า นพ. วิทิต ได้พูดถึงประเด็นนี้ว่า กรณีดังกล่าวเป็นคดีที่บอร์ดองค์การเภสัชกรรม ( ยุครัฐบาลน.ส.ยิ่งลักษณ์) ฟ้องร้องตนเองขณะดำรงตำแหน่งอดีตผู้อำนวยการองค์การเภสัชกรรม และนพ. วิชัย ในฐานะประธานกรรมการองค์การเภสัชกรรม ว่าทุจริตจัดซื้อยาพาราเซทตามอล ปี 2555 จากเดิมที่องค์การเภสัชกรรมเคยสั่งซื้อเมื่อปี 2548 จำนวน 48 ตัน แต่เมื่อปี 2554 เกิดน้ำท่วมใหญ่ทั่วประเทศ ทำให้ต้องสำรองปริมาณยาเพิ่มขึ้น 100 ตัน ซึ่งเป็นการคำนวณเพื่อเตรียมช่วยเหลือประชาชนที่ประสบอุทักภัย และ ไม่ได้ทำให้องค์การเภสัชกรรม เกิดความเสียหาย ตามที่ถูกฟ้อง ป.ป.ช. ขอให้ชดใช้ค่าเสียหายกว่า 200 ล้านบาท
"..เมื่อผลออกมาเช่นนี้ ยังไม่ตัดสินใจว่า จะฟ้องร้องกลับผู้ยื่นฟ้องหรือไม่ แต่ผมยืนยันว่า ผมตั้งใจทำงาน และเมื่อถูกฟ้อง ทำให้ต้องพ้นจากตำแหน่งไป และวันนี้เมื่อปรากฏว่า ป.ป.ช.ยกฟ้อง เพราะไม่มีมูล เหตุการณ์ก็ล่วงเลยมา 3 ปีแล้ว เป็นความล่าช้าที่เกิดขึ้นในระบบราชการ และ ไม่คิดจะกลับมาทำงานในสายราชการอีก เพราะรู้สึกเจ็บปวดกับสิ่งที่เกิดขึ้น"
นพ. วิทิต ระบุด้วยว่า กรณีการจัดซื้อยาพาราเซทตามอล และการจัดซื้อเครื่องมือแพทย์ในช่วงที่รับตำแหน่ง ผอ.องค์การเภสัชนั้น ถือเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้ คณะกรรมการบริหาร องค์การเภสัช และ ฝ่ายการเมืองใช้เป็นข้ออ้างในการสั่งปลดพ้นตำแหน่งผู้อำนวยการเมื่อปี 2555 ขณะที่ส่วนตัวยืนยันว่าไม่เคยมีปัญหาเรื่องทุจริต และเมื่อครั้งดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการองค์การเภสัชกรรม ได้ทำให้องค์กรมีรายได้เพิ่มขึ้นผลักดันรายได้ขององค์การเภสัชกรรม จาก 5 พันล้านบาท เพิ่มเป็น 1 หมื่นล้านบาทได้ภายในระยะเวลา 6 ปี และเป็นผู้ผลักดันให้ราคายา 10 ประเภท ที่มีราคาแพงก่อนหน้านั้น มีราคายาถูกลง โดยการใช้สิทธิบัตร CL ยา เช่น ยารักษาโรคเอดส์, ยาละลายลิ่มเลือดหัวใจ เพื่อให้ประชาชนได้โอกาสเข้าถึงยาราคาแพง
ทั้งนี้นพ.วิชัย และ นพ. วิทิต เป็นบุคลากรทางแพทย์ที่สาธารณชนทั่วไปให้การยอมรับความรู้ ความสามารถ แต่ในช่วงกลางปี 2556 ทั้งสองถูก นายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ในขณะนั้นตั้งข้อกล่าวหา โดยอ้างว่า จากการสืบสวนพยานหลักฐานกรณีการจัดซื้อวัตถุดิบยาพาราเซตามอลขององค์การเภสัชกรรม (อภ.) มีลักษณะการกระทำเข้าข่ายความผิดตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ พ.ศ. 2542 มาตรา 12 และมาตรา 157 แห่งประมวลกฎหมายอาญา โดยมีเจ้าหน้าที่ของรัฐเกี่ยวข้อง ดังนี้ 1.นพ.วิทิต อรรถเวชกุล ผู้อำนวยการ อภ.และ 2.นพ.วิชัย โชควิวัฒน อดีตประธานกรรมการ อภ. ทั้งนี้ ตาม พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2542 และที่แก้ไขเพิ่มเติม มาตรา 19 บัญญัติให้เป็นอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ดังนั้น ดีเอสไอจึงขอส่งรายงานการสืบสวนให้คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เพื่อดำเนินการตามอำนาจหน้าที่
ส่วนผู้ทำหน้าที่ในการยื่นคำร้องให้ดีเอสไอดำเนินการตรวจสอบเอาผิดกับ นพ.วิทิต จนกระทั่งไปลากโยงเอานพ.วิชัย ในฐานะประธานบอร์ดองค์การเภสัชกรรมเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย ก็คือ นายกมล บันไดเพชร เลขนุการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข (นพ.ประดิษฐ์ สินธวณรงค์) และเหตุการณ์ทั้งหมดเกิดขึ้นในช่วงสมัยรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร กระทั่งต่อมาก็มีคำสั่งของบอร์ใดปลด นพ.วิทิต ออกกจากตำแหน่งผู้อำนวยการองค์การเภสัชกรรม
(... “การปลด นพ.วิทิต ครั้งนี้เป็นการดำเนินการตรงกันข้าม จากข่าวที่ปรากฏออกมาค่อนข้างชัดเจนว่า เป็นการสนองอำนาจทางการเมือง มีการร่นประชุมเพื่อให้ทัน รมว.สาธารณสุข ก่อนไปต่างประเทศ และมติเลิกจ้างก็มีความไม่ชอบมาพากลอยู่หลายประการ และเท่าที่ทราบข่าวมีบอร์ดหลายคนถูกบังคับให้ต้องมาเข้าประชุมทั้งที่มีภารกิจต้องไปต่างประเทศหรืออยู่ต่างจังหวัดและต้องมีมติเป็นเอกฉันท์ด้วย โดยไม่มีโอกาสได้ฟังข้อมูลต่างๆ เมื่อลงมติออกมาก็บอกว่าเลิกจ้างทันทีในวันที่ 17 พ.ค. 2556 แต่เมื่อวันที่ 20 พ.ค. 2556 ก็มีการออกคำสั่งใหม่ว่าให้ปฏิบัติหน้าที่ต่อ เป็นลักษณะที่ลุกลี้ลุกลนไม่ได้เป็นไปตามเหตุผลที่ควรจะเป็น” นพ.วิชัย โชควิวัฒน 23 พ.ค. 2556...)
เรียบเรียงข่าว : ชัชรินทร์ สำนักข่าวทีนิวส์
ขอบคุณข้อมูล : FB ภัทราพร ตั๊นงาม ผสข.ไทยพีบีเอส