แถลงการณ์กลุ่มค้านถ่านหิน ชู 4 หัวข้อทำตามกม.-ผลกระทบสวล.-ปชช.มีส่วนร่วม-ครอบคลุมแรมซ่าร์ไซด์-โรงไฟฟ้าและท่าเรือ

ติดตามข่าวเพิ่มได้ที่ www.tnews.co.th

 

จากกรณีที่รัฐบาลตัดสินจับกุมตัวแกนนำกลุ่มเครือข่ายปกป้องอันดามันจากถ่านหิน ที่เดินทางขึ้นมาจากภาคใต้เพื่อคัดค้านการก่อสร้างโรงไฟฟ้าถ่านหินที่ จ.กระบี่ จนนำไปสู่การจับกุมแนนำ 5 คน ต่อมามีการเจรจาจนมีการปล่อยตัว โดยรัฐบาลมีมติคณะรัฐมนตรีให้ยกเลิกการศึกษาผลกระทบสิ่งแวดล้อมทั้ง ที้งอีไอเอ และ อีเอชไอเอ แล้วให้มีการศึกษาใหม่ ในการประประคณะรัฐมนตรี เมื่อวานนี้นั้น


ล่าสุด วันนี้ ( 22 ก.พ.)  กลุ่มเครือข่ายปกป้องอันดามันจากถ่านหิน  ได้ออกแถลงการณ์โดยมีเนื้อหาระบุว่า  ตามที่นายกรัฐมนตรีสั่งการหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทำ EIA และ EHIA ใหม่ กรณีก่อสร้างโรงไฟฟ้าถ่านหิน จ.กระบี่ ถ้า EIA ทำไม่ได้ ก็ไม่สามารถสร้างโรงไฟฟ้าถ่านหินจังหวัดกระบี่ รวมถึงให้ทำรายงานผลกระทบต่อสุขภาพของประชาชนที่อยู่บริเวณใกล้เคียงการดำเนินโครงการ หรือ EHIA เพื่อให้ประชาชนมีส่วนร่วมอย่างแท้จริงโดยรัฐบาลได้เสนอให้มีการจัดตั้งคณะกรรมการระดับสูงเข้ามาดูแลนโยบายและยุทธศาสตร์ในการใช้ทรัพยากรธรรมชาติของประเทศ 

ทางเครือข่ายปกป้องอันดามันจากถ่านหินมีข้อเสนอเพิ่มตามที่ได้เจรจากับผู้แทนรัฐบาลคือแม่ทัพภาคที่๑ ว่าต้องมีการจัดทำรายงานในรูปแบบใหม่ที่ยุติธรรมตรงตามหลักวิชาการ ดังนี้   ๑. ในกระบวนการจัดทำครั้งใหม่นี้ต้องเป็นไปตามเจตนารมณ์ของ พรบ.สิ่งแวดล้อม พศ.๒๕๓๕ คือเป็นการจัดทำเพื่อประเมินทางเลือกการพัฒนาที่เหมาะสมของพื้นที่ โดย มีกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิที่มีความเป็นกลางขึ้นมาชุดหนึ่งทำหน้าที่กำกับกระบวนการทั้งหมด และให้หน่วยงานนิติบุคคลที่มีความเป็นกลางเป็นผู้ดำเนินการจัดทำรายงานไม่ใช่ให้ กฟผ.จ้างบริษัทมาดำเนินการจัดทำเหมือนรูปแบบเดิมที่ผ่านมา

 

๒.ในด้านเนื้อหาการจัดทำต้องมีลักษณะสำคัญดังนี้  ๒.๑ การจัดทำ SEA (Strategic Environmental Assessment) ให้แน่ใจว่าโรงไฟฟ้าถ่านหินจะสอดคล้องและอยู่ร่วมกับแผนพัฒนากระบี่ 2020 ต้องมีการประเมินทางเลือกในการผลิตไฟฟ้า อื่นๆ เช่น พลังงานหมุนเวียน (ชีวมวล แสงอาทิตย์ ลม) ในระดับที่มีรายละเอียดเทียบเท่ากับโรงไฟฟ้าถ่านหินและประเมินผลกระทบทั้ง 3 มิติตามหลักการพัฒนาที่ยั่งยืน (เศรษฐศาสตร์ สิ่งแวดล้อม และ สังคม)  ๒.๒ ต้องทำการประเมินผลกระทบเป็นมูลค่าความเสียหายออกมาเป็นค่าตัวเลขในรูปต้นทุนภายนอก (Externality) หากไม่มีมาตรการลดผลกระทบ โดยต้องบอกได้ว่าภาคส่วนใดถูกผลักภาระต้นทุนภายนอกนี้ไป ทั้งนี้ต้องรวมต้นทุนเชิงนิเวศ (Ecological Service) ไว้ด้วย  

๒.๓ การดำเนินการคำนวณต้นทุนภายนอก (Externality) ควรอิงงานวิจัย โดยใช้นักวิจัยที่เป็นกลาง และ น่าเชื่อถือทางวิชาการ มีเอกสารอ้างอิง หรือ เป็นวิจัยตรงในพื้นที่ โดยให้นักวิชาการจัดทำข้อมูลที่ถูกต้อง  ๒.๔ เมื่อกำหนดมาตรการลดผลกระทบแล้วต้องประเมินความเสียหายออกมาเป็นค่าตัวเลข (มูลค่าบาท) (Externality) และ ต้องบอกได้ว่าใครที่จะได้รับผลกระทบนี้ไป ทั้งนี้ต้องรวมต้นทุนเชิงนิเวศ (Ecological Service) ไว้ด้วย และ ต้องมีการซื้อประกันความเสี่ยงกับธนาคารหรือสถาบันเอกชนที่ขายประกันเท่ามูลค่าความเสียหายที่เกิดขึ้นหลังจากมีมาตรการลดผลกระทบแล้ว โดยให้เน้น ภาคประมง ท่องเที่ยว และ เกษตรกรรม  ๒.๕ ต้องเอาต้นทุนภายนอกที่ต้องทำการประกันนี้ไปรวมกับต้นทุนภายใน และ ใช้ประกอบการประเมินว่าการสร้างโรงไฟฟ้าถ่านหินจะคุ้มทุนหรือไม่โดยต้องมีคณะกรรมการตรวจสอบความถูกต้องของการประเมิน

 

๓.ด้านการมีส่วนร่วมของประชาชนนั้นนอกจากอยู่ในคณะกรรมการแล้วจะต้องดำเนินการให้เป็นไปตามกฎกระทรวงว่าด้วยกระบวนการจัดทำรายงานผลกระทบสิ่งแวดล้อมโดยรัฐต้องไม่ใช้อำนาจฝ่ายปกครองในการเกณฑ์คนมาสนับสนุน ฝ่ายความมั่นคงจะต้องไม่ใช้กองกำลังมากีดกันผู้เห็นต่างอย่างที่เคยเกิดขึ้น  ๔.การจัดทำรายงานครั้งนี้จะต้องเป็นรายงานที่อยู่ในพื้นที่ชุ่มน้ำนานาชาติ(แรมซ่าร์ไซด์) ไม่ใช่การจัดทำรายงานในพื้นที่ปกติทั่วไป ซึ่งต้องมีรายละเอียดการประเมินจำนวนมาก โดยรายงานทั้ง ๒ ฉบับ คือ โรงไฟฟ้าถ่านหินและท่าเรือขนถ่านหิน ต้องใช้เวลาจัดทำตามระบบนิเวศจริง นั่นคือระยะเวลาจัดทำต้องมากพอในการศึกษารายละเอียดการประเมินแต่ละประเด็น โดยอาจต้องใช้เวลาการประเมินแต่ละฉบับไม่ต่ำกว่า ๓-๕ ปี

โดยเครือข่ายปกป้องอันดามันจากถ่านหินยืนยันว่าหากดำเนินการจัดทำรายงานตามหลักวิชาการ โรงไฟฟ้าไม่สามารถเกิดขึ้นได้ไม่ว่าพื้นที่ใดในโลก เพราะไม่มีเทคโนโลยีที่ลดผลกระทบได้ มิพักต้องพูดถึงว่ากระบี่เป็นพื้นที่ชุ่มน้ำนานาชาติ(แรมซ่าร์ไซด์)และเป็นพื้นที่การท่องเที่ยวที่มีระบบนิเวศสวยงามสมบูรณ์ ๑ใน ๑๐ ของโลก โรงไฟฟ้าถ่านหินจึงไม่มีทางเกิดขึ้นบนแผ่นดินกระบี่โดยเด็ดขาด


ขอบคุณข้อมูลจากเฟสบุ๊ค หยุดถ่าหินกระบี่
วิทย์ณเมธา  สำนักข่าวทีนิวส์