พระพุทธองค์ทรงสอนไว้ว่า “ปาฏิหาริย์มีจริง แต่แบบไหนละที่ดีต่อชาวพุทธ” ท่านเจ้าพระคุณประยุทธ์!!! เมตตาเฉลยไว้

รู้จริง... รู้แจ้ง... ทุกเรื่องราวพระอริยสงฆ์   http://panyayan.tnews.co.th

พระพุทธองค์ทรงสอนไว้ว่า “ปาฏิหาริย์มีจริง แต่แบบไหนละที่ดีต่อชาวพุทธ” ท่านเจ้าพระคุณประยุทธ์!!! เมตตาเฉลยไว้

พระพุทธองค์ทรงสอนไว้ว่า “ปาฏิหาริย์มีจริง แต่แบบไหนละที่ดีต่อชาวพุทธ” ท่านเจ้าพระคุณประยุทธ์!!! เมตตาเฉลยไว้

สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (ประยุทธ์ ปยุตฺโต) ได้เคยบรรยายธรรมในหนังสือ "คำถามสำหรับชาวพุทธ (สำรวจตัวเองก่อนปฏิบัติธรรม)" เพื่อเป็นแนวทางที่ถูกต้องในเรื่องที่พระพุทธเจ้าได้เคยตรัสเกี่ยวกับ “ปาฏิหาริย์” ในรูปแบบต่างๆ ว่าเป็นเช่นไร และแบบไหนจึงเรียกปาฏิหาริย์ที่เป็นแบบที่แท้จริง น่านับถือมากที่สุด สมควรยกย่องเรียนแบบอย่างยิ่ง ปาฏิหาริย์นั้นพระพุทธเจ้าสอนไว้ว่ามี ๓ อย่าง คือ

๑. อิทธิปาฏิหาริย์ เป็นปาฏิหาริย์ในเรื่องฤทธิ์ คือการแสดงฤทธิ์หรือความเป็นผู้วิเศษ ดลบันดาลอะไรต่าง ๆ เหาะเหินเดินอากาศ หูทิพย์ ตาทิพย์ เป็นต้น

๒. อาเทศนาปาฏิหาริย์ ปาฏิหาริย์คือการทายใจได้ ทายใจโยมได้ว่า อ้อโยมกำลังคิดเรื่องนี้ โยมกำลังคิดว่าหลังจากฟังธรรมนี้แล้วจะไปโน่น หรือว่าฟังองค์แสดงธรรมแล้ว คิดต่อองค์แสดงธรรมว่าเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ อะไรทำนองนี้ คือทายใจได้อันนี้เรียกว่าอาเทศนาปาฏิหาริย์

๓. อนุศาสนีปาฏิหาริย์ ปาฏิหาริย์คือคำสอนที่เป็นอัศจรรย์ คำสอนที่แสดงความจริงให้ผู้ที่ฟังรู้เข้าใจ มองเห็นความจริงเป็นอัศจรรย์ แล้วก็สามารถนำประพฤติปฏิบัติตามได้ผลจริงเป็นอัศจรรย์ อันนี้คือให้โยมเกิดปัญญา รู้ความจริง

ปาฏิหาริย์ทั้ง ๓ อย่างนี้พระพุทธเจ้าทรงสรรเสริญอย่างไหนบ้างหรือไม่ หรือว่ายกย่องทั้งหมดเลย

พระพุทธองค์ทรงสอนไว้ว่า “ปาฏิหาริย์มีจริง แต่แบบไหนละที่ดีต่อชาวพุทธ” ท่านเจ้าพระคุณประยุทธ์!!! เมตตาเฉลยไว้

พระพุทธองค์ทรงสอนไว้ว่า “ปาฏิหาริย์มีจริง แต่แบบไหนละที่ดีต่อชาวพุทธ” ท่านเจ้าพระคุณประยุทธ์!!! เมตตาเฉลยไว้

คำตอบคือ ไม่ทั้งหมด พระพุทธเจ้าไม่สรรเสริญปาฏิหาริย์ ๒ อย่างแรก คือ อิทธิปาฏิหาริย์ การแสดงฤทธิ์ และอาเทศนา ปาฏิหาริย์การทายใจได้  แต่สรรเสริญข้อที่ ๓ ได้แก่ อนุศาสนีปาฏิหาริย์ คือคำสอนที่ให้รู้ความจริง เกิดปัญญาได้เป็นอัศจรรย์ อันนี้สำคัญ

ชาวพุทธต้องรู้จักปาฏิหาริย์ ๓ นี้ แล้วก็ต้องรู้ว่าพระพุทธเจ้าสอนไว้อย่างไร พระองค์สอนไว้ว่าพระองค์ไม่ได้ยกย่องสรรเสริญปาฏิหาริย์ ๒ อย่างแรก ทรงสรรเสริญแต่ข้อที่ ๓ ทำไมถึงเป็นอย่างนั้นล่ะ  อ้าว ใครแสดงฤทธิ์ได้ก็เก่งมากนะซิ ทำไมพระพุทธเจ้าไม่สรรเสริญล่ะ แล้วเราก็ได้ยินเรื่องราวนี่ว่าพระพุทธเจ้าก็มีฤทธิ์เหมือนกัน เอ! เป็นเพราะอะไร ก็ลองมาดูกัน 

เอาง่าย ๆ ๒ ข้อแรกเป็นเรื่องเกี่ยวกับฤทธิ์ เนื่องกับความสามารถพิเศษทางจิต เราก็แยกระหว่างข้อ ๑-๒ เป็นพวกหนึ่ง กับข้อ ๓ เป็นพวกหนึ่ง  เมื่อพระพุทธเจ้าทรงสรรเสริญข้อที่ ๓ ก็เป็นอันว่า ข้อที่ ๑-๒ นี่เป็นเรื่องที่พระพุทธเจ้าไม่ยกย่อง ทีนี้ทำไมพระพุทธเจ้าถึงไม่ยกย่องปาฏิหาริย์ ๒ อย่างแรก

เราจะมองเห็นความแตกต่างระหว่างปาฏิหาริย์ ๒ แบบนี้ ปาฏิหาริย์ประเภทฤทธิ์นี่เวลาแสดงไปแล้ว คนที่ดูที่ฟังเป็นอย่างไร คนที่ดูที่ฟัง พอดูและฟังเสร็จแล้วก็งงไปเลย งงงัน ก็มองว่าท่านผู้แสดงนี้เก่งใช่ไหม แต่ตัวโยมเองน่ะ ได้อะไรบ้าง? มีอะไรเปลี่ยนแปลง? ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง ก็อยู่เท่าเดิม แต่อาจจะแย่ลง เพราะว่างงใช่ไหม

เดิมยังไม่งง พอดูท่านผู้แสดงฤทธิ์เสร็จก็งงไปเลย งงนี้ต้องระวัง ขออภัยเดี๋ยวจะกลายเป็นโง่ไป ก็คือเป็นโมหะ กลายเป็นว่าพอดูท่านแสดงฤทธิ์เสร็จตัวเองกลับมีโมหะมากขึ้น ไปดีที่ไหน? ก็ไปดีที่คนแสดง คนแสดงก็เด่นยิ่งขึ้น ตกลงเราก็ต้องไปหวังพึ่งท่านผู้แสดงฤทธิ์อยู่เรื่อย ไม่เป็นอันทำอะไรแล้ว คอยรอหวังผลว่าท่านจะทำอะไรให้

พระพุทธองค์ทรงสอนไว้ว่า “ปาฏิหาริย์มีจริง แต่แบบไหนละที่ดีต่อชาวพุทธ” ท่านเจ้าพระคุณประยุทธ์!!! เมตตาเฉลยไว้

พระพุทธองค์ทรงสอนไว้ว่า “ปาฏิหาริย์มีจริง แต่แบบไหนละที่ดีต่อชาวพุทธ” ท่านเจ้าพระคุณประยุทธ์!!! เมตตาเฉลยไว้

ทีนี้เรามาดูอนุศาสนีปาฏิหาริย์ ข้อที่พระพุทธเจ้ายกย่อง

คนฟังแล้วเป็นอย่างไรมีอะไรเกิดขึ้นบ้างมีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นไหม? เปลี่ยนแปลงแล้วได้อะไร พอแสดงอนุศาสนีปาฏิหาริย์เสร็จ อะไรเกิดขึ้นในใจผู้ฟัง? ปัญญาเกิดขึ้น พอปัญญาเกิดขึ้นแล้วเป็นอย่างไร? ก็เป็นของผู้เอง ผู้ที่ฟัง เมื่อปัญญาเกิดแล้ว ปัญญาก็อยู่กับตัว ไปไหนก็พาปัญญาไปด้วย ใช่ไหม

คราวนี้ไม่ต้องมามัวรอตามฟังผู้ที่แสดงปาฏิหาริย์ เพราะฉะนั้นผู้ที่ได้คือผู้ฟัง ส่วนผู้ที่แสดงอยู่แล้วท่านก็แสดงของท่านไป ท่านไม่ได้เพิ่มอะไร ท่านรู้อยู่แล้ว ท่านก็มีความชำนาญมากขึ้นในสิ่งที่แสดง  แต่ว่าผู้ฟังสิได้จริง ๆ แล้วก็เป็นอิสระ คือได้ฟังแล้วก็รู้ก็เข้าใจเป็นปัญญาของตัว ท่านผู้แสดงให้เห็นความจริงอะไร ผู้ฟังก็ได้เห็นความจริงนั้น ผู้ฟังก็เป็นอิสระแก่ตัวเอง เพราะผู้แสดงได้เห็นอะไรผู้ฟังก็ได้เห็นความจริงอันนั้น ผู้แสดงทำอะไรได้ ผู้ฟังรู้แล้วก็ทำอันนั้นได้เองด้วยแล้วก็จบ

เพราะฉะนั้นผู้ฟังเป็นอิสระ ความเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นในใจผู้ฟัง ผลได้เกิดขึ้นแก่ผู้ฟังคือปัญญาเกิดขึ้น พระพุทธเจ้าจึงสรรเสริญแต่อนุศาสนีปาฏิหาริย์

พระพุทธองค์ทรงสอนไว้ว่า “ปาฏิหาริย์มีจริง แต่แบบไหนละที่ดีต่อชาวพุทธ” ท่านเจ้าพระคุณประยุทธ์!!! เมตตาเฉลยไว้

สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (ประยุทธ์ ปยุตฺโต)

 

จากหนังสือ "คำถามสำหรับชาวพุทธ (สำรวจตัวเองก่อนปฏิบัติธรรม)"

Download: http://www.watnyanaves.net/th/book_detail/101

ข่าวโดย :  กิตติ ทีนิวส์  / สำนักพิมพ์ กรีนปัญญาญาณ/ ทีมข่าวปัญญาญาณ – ทีนิวส์