บาปกรรมมีจริง…ใครสมคิด/คดโกงเงินแผ่นดิน!! ย้อนชะตากรรมฉาว “ 2 บิ๊กสรรพากร” โดนครหายอมเป็นทาสระบอบทักษิณ ปล่อยผีภาษีหุ้นชินคอร์ป???

ติดตามรายละเอียด http://www.tnews.co.th

กลายเป็นประเด็นร้อนที่หลายฝ่ายเฝ้ารอดูการบทสรุปสุดท้าย ว่ากรณีการซื้อขายหุ้นชินคอร์ปของบุคคลในครอบครัวชินวัตร  อันเป็นรายได้มหาศาลจะต้องถูกเรียกจัดเก็บภาษีเงินได้เหมือนประชาชนบุคคลทั่วไปหรือไม่   ตามหลักกฎหมายว่าด้วยหน้าที่การเสียภาษีเพื่อเป็นรายได้นำมาบำรุง พัฒนาประเทศ   !!?!!

 

 

บาปกรรมมีจริง…ใครสมคิด/คดโกงเงินแผ่นดิน!! ย้อนชะตากรรมฉาว “ 2 บิ๊กสรรพากร” โดนครหายอมเป็นทาสระบอบทักษิณ ปล่อยผีภาษีหุ้นชินคอร์ป???

 

ล่าสุด นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี   กล่าวถึงการดำเนินการเรียกเก็บภาษีกับนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี  กรณีขายหุ้นชินคอร์ปว่า เรื่องนี้ยังไม่แน่ชัดว่าใครผิด ใครถูก เพราะกรมสรรพากรระบุอาจดำเนินการไม่ได้  แต่ท้ายสุดจำเป็นต้องมีคำพิพากษาศาลจะมาคิดเองไม่ได้   จึงต้องให้มีการประเมินและดำเนินการไปตามขั้นตอน   เพราะโดยหลักการมีคำพิพากษาศาลฎีกาแผนกดคีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองไว้ว่า  การเสียภาษีกรณีนี้ไม่ถูกต้อง ดังนั้นก็ต้องทำให้ถูกต้องในขั้นตอนการยื่นฟ้องต่อศาลภาษีอากรกลาง  และถ้าผลไม่เป็นที่พอใจสามารถอุทธรณ์ต่อศาลฎีกาแผนกคดีภาษีอากรได้ 

 

“เวลาที่เหลือ 16วัน ก็ไม่ยากอะไร เมื่อยื่นประเมินแล้ว อายุความก็หยุด ส่วนเจ้าหน้าที่กรมสรรพากรที่ไม่ได้เรียกเก็บภาษีก่อนหน้านี้   ปลัดกระทรวงการคลังได้มีการตั้งกรรมการสอบตั้งแต่เมื่อเดือนธันวาคม โดยเป็นการสอบวินัย  ถ้าพบว่าผิดก็ดำเนินการตามกฎหมาย โดยย้อนไปตั้งแต่กระบวนการเริ่มต้น”

 

โดยในแต่ละยุคสมัยการทำหน้าที่อธิบดีกรมสรรพากร  พบข้อมูลดังนี้  1.นายศานิต  ร่างน้อย  ดำรงตำแหน่งช่วงเดือน ม.ค.   2550-2551   2. นายวินัย  วิทวัสการเวช  ดำรงตำแหน่งช่วงเดือนต.ค. 2551 – ก.ย. 2553  และ 3. นายสาธิต  รังคศิริ  ดำรงตำแหน่งช่วงเดือนต.ค. 2553-2556   จนปัจจุบันมีนายประสงค์  พูนธเนศ  ดำรงตำแหน่งเป็นอธิบดีกรมสรรพากร

 

บาปกรรมมีจริง…ใครสมคิด/คดโกงเงินแผ่นดิน!! ย้อนชะตากรรมฉาว “ 2 บิ๊กสรรพากร” โดนครหายอมเป็นทาสระบอบทักษิณ ปล่อยผีภาษีหุ้นชินคอร์ป???

 

 

ประเด็นนี้สำคัญเพราะโดยข้อเท็จจริงกับกรณีที่เกิดขึ้นนี้มีข้อกังขามาโดยตลอดว่า  ข้าราชการกรมสรรพากรได้ทำหน้าที่ของตนเองอย่างเหมาะสม ถูกต้องหรือไม่  เพียงใด

 

เนื่องจากพบว่าแม้ศาลภาษีกลางจะมีคำวินิจฉัยว่านายพานทองแท้และน.ส.พินทองทาไม่ใช่เจ้าของหุ้นชินคอร์ปในสัดส่วนตามที่นายทักษิณกล่าวอ้าง แต่โดยบริบทแล้วกรมสรรพากรก็ควรจะยื่นคำร้องขออุทธรณ์พิจารณาคดีให้ถึงที่สุด แต่ปรากฏว่ากรมสรรพากรเลือกทำในสิ่งตรงข้ามคือ "ไม่อุทธรณ์คำสั่งศาลตามสิทธิ์" 

 

ขณะเดียวกันถึงแม้นางเสาวนีย์ กมลบุตร รองปลัดกระทรวงการคลัง ในฐานะประธานคณะกรรมการวินิจฉัยภาษีอากรจะมีความเห็นไปในทิศทางเดียวกัน  ว่ามีความจำเป็นต้องยึดตามคำสั่งศาลว่าหุ้นชินคอร์ปเป็นของนายทักษิณ  แต่ก็มีความเห็นเพิ่มเติมว่าเป็นขอบเขตอำนาจหน้าที่ของอธิบดีกรมสรรพากร  สามารถจะวินิจฉัยว่าจะเก็บภาษีการซื้อขายหุ้นชินคอร์ปจากนายทักษิณแทนนายพานทองแท้และน.ส.พิณทองทาได้หรือไม่

 

แต่ปรากฏรายงานข่าวว่า   นายสาธิต รังคสิริ อธิบดีกรมสรรพากร  (ในขณะนั้น)  ระบุผ่านสื่อมวลชนว่า   “เรื่องภาษีหุ้นชินคอร์ปฯ  ตอนนี้ถือว่าจบแล้ว ต่อจากนี้ไปกรมสรรพากรจะไม่มีการประเมินภาษีคนในตระกูลชินวัตรอีก  เนื่องจากผลการตัดสินของคณะกรรมการวินิจฉัยภาษีอากรถือเป็นที่สิ้นสุด ซึ่งคณะกรรมการฯก็มีมติเป็นเอกฉันท์ ยืนตามคำพิพากษาของศาลทั้ง 2 ศาล  ส่วนเรื่องการประเมินภาษี นายทักษิณ คณะกรรมการฯ มอบหมายให้เป็นหน้าที่ของกรมสรรพากรเป็นผู้วินิจฉัย  และเมื่อกรมสรรพากรพิจารณาแล้วว่าไม่ต้องเสียภาษี  ตรงนี้ก็ถือเป็นที่สิ้นสุดด้วยเช่นกัน เพราะกรมสรรพากรทำตามผลการวินิจฉัยของคณะกรรมการฯ อีกทั้งหากกรมสรรพากรจะอุทธรณ์จะมีค่าธรรมเนียม 23 ล้านบาท ดังนั้นกรมสรรพากรจึงหารือไปยังกระทรวงการคลัง ซึ่งกระทรวงการคลังเห็นว่าไม่ควรอุทธรณ์ ??  

 

ด้วยเหตุผลข้ออ้างดังกล่าวทำให้  นายแก้วสรร อติโพธิ   อดีตคณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแต่รัฐ(คตส.)  ต้องออกมาวิพากษ์วิจารณ์การทำหน้าที่ของอธิบดีกรมสรรพากร   เพราะหากมีความเห็นไม่ยื่นอุทธรณ์ภาษีนายพานทองแท้และน.ส.พินทองทา ก็ควรเรียกเก็บเงินภาษีจาก นายทักษิณและคุณหญิงพจมาน ทันที หรือ  หากคิดว่าเรียกเก็บภาษีจากนายทักษิณไม่ได้ ก็ต้องอุทธรณ์เก็บภาษีจากบุตรทั้งสองคนให้ถึงที่สุดเพื่อไม่ให้รัฐเกิดความเสียหาย

 

“ไม่เข้าใจทำไมกรมสรรพากรไม่เก็บจากนายพานทองแท้และ น.ส.พินทองทาแล้ว ยังมาบอกการเก็บภาษีจาก พ.ต.ท.ทักษิณต้องขอดูก่อน ซึ่งสุดท้ายแล้วถ้ากรมสรรพากรเก็บภาษีหุ้น 1.2 หมื่นล้านบาทจากคนในครอบครัวชินวัตรไม่ได้ ผู้บริหารกระทรวงการคลังและกรมสรรพากรน่าจะมีความผิดฐานละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ตามมาตรา 157 ทำให้รัฐเกิดความเสียหาย”

 

อย่างไรก็ตามกับความซับซ้อนซ่อนเร้น   เรื่องการซื้อขายหุ้นชินคอร์ของบุคคลในครอบครัวชินวัตร   ที่สุดก็ไม่อาจเลี่ยงพ้นความผิดได้ตลอดรอดฝั่ง   สำหรับผู้มีหน้าที่ปกป้องทรัพย์สินแผ่นดินเมื่อศาลอาญาแผนกคดีทุจริตและประพฤติมิชอบของเจ้าหน้าที่รัฐ   ได้พิพากษา นางเบญจา หลุยเจริญ อดีต รมช.คลัง สมัยรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร และอดีตรองอธิบดีกรมสรรพากร, น.ส.จำรัส แหยมสร้อยทอง อดีต ผอ.สำนักกฎหมาย, น.ส.โมรีรัตน์ บุญญาศิริ อดีต ผอ.สำนักกฎหมาย, นายกริช วิปุลานุสาสน์ ผอ.สำนักกฎหมาย กรมสรรพากร   คนละ 3  ปี  โดยไม่รอลงอาญา

 

 

บาปกรรมมีจริง…ใครสมคิด/คดโกงเงินแผ่นดิน!! ย้อนชะตากรรมฉาว “ 2 บิ๊กสรรพากร” โดนครหายอมเป็นทาสระบอบทักษิณ ปล่อยผีภาษีหุ้นชินคอร์ป???

 

 

และ จำคุก  น.ส.ปราณี เวชพฤกษ์พิทักษ์ คนใกล้ชิด เลขานุการส่วนตัวของคุณหญิงพจมาน ณ ป้อมเพชร อดีตภรรยานายทักษิณ เป็นเวลา 2 ปี  โดยไม่รอลงอาญาเช่นเดียวกัน   ฐานร่วมกันเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่ หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ราชการ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157

 

ภายหลังจากนางเบญจา ขณะดำรงตำแหน่งรองอธิบดีกรมสรรพากร   ทำหนังสือตอบกลับ น.ส.ปราณี  เมื่อวันที่  ลงวันที่ 7 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2538  อันเป็นเหตุทำให้ นายพานทองแท้ และ น.ส.พินทองทา ชินวัตร  เสียภาษีอากร หรือเสียภาษีน้อยกว่าที่จะต้องเสีย และได้รับประโยชน์ที่มิควร โดยชอบด้วยกฎหมาย จากการที่นายพานทองแท้ และ น.ส.พินทองทา ซื้อหุ้นบริษัทชินคอร์ปอเรชั่น จำกัด เมื่อปี 2549 คนละ 164,600,000 หุ้น ในราคาพาร์หุ้นละ 1 บาท ขณะที่ราคาตลาดหุ้นละ 49.25 บาท  

 

ทั้ง ๆ ที่ต้องถือว่านายพานทองแท้ และ น.ส.พินทองทา ถือเป็นผู้ได้รับเงินพึงประเมิน ตามประมวลรัษฎากร มาตรา 39 และมีหน้าที่ต้องเสียภาษีของส่วนต่างราคาหุ้น คนละ 7,941,950,000 บาท  โดยการกระทำดังกล่าวทำให้กรมสรรพากร กระทรวงการคลัง และราชการเกิดความเสียหาย

 

ส่วนชะตากรรมของนายสาธิต   รังคศิริ     ในฐานะอธิบดีกรมสรรพากร    ปรากฏว่า คณะกรรมการ ป.ป.ช.  ได้มีมติตั้งข้อกล่าวหาร่ำรวยผิดปกติ โดยมีทรัพย์สินมากผิดปกติหรือมีทรัพย์สินเพิ่มขึ้นมากผิดปกติ  ที่อยู่ในชื่อของนายสาธิต คู่สมรส บุตร บริษัท สิริกาญจนา จำกัด และบุคคลภายนอก

 

 

บาปกรรมมีจริง…ใครสมคิด/คดโกงเงินแผ่นดิน!! ย้อนชะตากรรมฉาว “ 2 บิ๊กสรรพากร” โดนครหายอมเป็นทาสระบอบทักษิณ ปล่อยผีภาษีหุ้นชินคอร์ป???

 

จากการตรวจสอบพบว่า  นายสาธิต และนายศุภกิจ ริยะการ อดีตสรรพากรพื้นที่กรุงเทพฯ 22 ปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 กรณีทุจริตคืนภาษีมูลค่าเพิ่ม 4.3 พันล้านบาท  และนายสาธิต ได้รับผลประโยชน์โดยนำเงินที่บริษัทเอกชนขอคืนภาษีมูลค่าเพิ่มจำนวนประมาณ 179 ล้านบาท ไปซื้อทองคำแท่ง และนายสาธิตยังมีชื่อเป็นผู้มีกรรมสิทธิ์ในทองคำแท่งดังกล่าว  โดยไม่ปรากฏในบัญชีทรัพย์สินที่ต้องยื่นต่อ ป.ป.ช. 

 
คณะกรรมการปปช.จึงมติให้ส่งรายงาน เอกสาร  และความเห็นไปยังอัยการสูงสุด (อสส.)  เพื่อยื่นคำร้องต่อศาล   ซึ่งมีเขตอำนาจพิจารณาพิพากษาคดี  เพื่อขอให้ศาลสั่งให้ทรัพย์สินของนายสาธิต รวมมูลค่า 714,938,144.77 บาท ตกเป็นของแผ่นดิน และแจ้งให้ผู้บังคับบัญชาของนายสาธิตสั่งลงโทษไล่ออกหรือปลดออก โดยให้ถือว่ากระทำความผิดฐานทุจริตต่อหน้าที่ ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2542 มาตรา 80 (4)

 

ส่งผลทำให้นายสาธิตนอกจากจะถูกปปช.เสนอคำร้องให้ยึดทรัพย์มูลค่ารวมกว่า 700 ล้านบาทแล้ว   มีข้อมูลด้วยว่านายสาธิตได้ถูกไล่อออกจากราชการตามมติคณะอนุกรรมการข้าราชการพลเรือน  กระทรวงการคลัง หรือ อ.ก.พ.กระทรวงการคลัง ที่มีนายอภิศักดิ์ ตันติวรวงศ์ รมว.คลัง  เป็นประธาน !!!

 

 

 

 

เรียบเรียง : นิตติยา  บุญตาวัน สำนักข่าวทีนิวส์