ตั้งสติ !!! "ไพศาล" เตือนเก็บภาษีหุ้นชินอย่าหลงประเด็น! งานนี้ฝากความหวังที่ป.ป.ช.ลากตัวคนละเว้นมาให้ได้ เพราะโทษถึงขั้นประหารชีวิต !!!

ติดตามรายละเอียด http://deeps.tnews.co.th

นายไพศาล พืชมงคล ในฐานะกรรมการผู้ช่วย พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว ถึงกรณีการเก็บภาษีหุ้นชินคอร์ปไว้อย่างน่าสนใจ ว่าทุกคน "อย่าหลงประเด็น" โดยมีเนื้อหาและใจความสำคัญทั้งหมด ดังต่อไปนี้

ในสัปดาห์ที่ผ่านมามีการสร้างความเข้าใจผิด ๆ จนกระทั่งเกิดความสับสนอลหม่านในทางความคิดในหมู่ประชาชนและนักลงทุนเกี่ยวกับการประเมินภาษี การซื้อขายหุ้นชิน จนคนทั้งหลายพากันสงสัยว่าเรื่องนี้จะเอาอย่างไรกันแน่?

มีการตั้งโต๊ะพูดจาข่มขู่คุกคามกันเพื่อให้กระทบกระเทือนไปถึงผู้มีหน้าที่เกี่ยวข้อง และก็มีการตอบโต้กันจนกลายเป็นว่าเรื่องประเมินภาษีหุ้นชินได้เป็นเรื่องที่ถกเถียงและโต้แย้งกันอย่างรุนแรง

ความจริงนั้นย่อมเป็นสิ่งเดียวและเป็นอย่างเดียว ไม่มีเป็นสองอย่าง ดังนั้นที่ถกเถียงกันและที่สร้างความสับสนกันนั้นย่อมมีความจริงอยู่เพียงสิ่งเดียว แต่มีการสร้างสิ่งอื่นเข้ามาปลอมแปลงปลอมปนจนเกิดความสับสนไขว้เขวและทำให้เกิดความขึ้งเครียดแก่ผู้คนในสังคมอันไม่เป็นประโยชน์แก่ใครเลย

ดังนั้นเพื่อความสงบสุขทางจิตใจของพี่น้องชาวไทยทั้งผองจึงควรต้องทำความเข้าใจเรื่องนี้กันให้กระจ่าง จะได้ทราบว่าอะไรถูก อะไรผิด อะไรจะต้องทำอย่างไร และต้องทำกันเมื่อใด ซึ่งความจริงไม่ใช่เรื่องยุ่งยากซับซ้อนอะไรเลย เพียงแค่เอาความจริงมาเรียงลำดับให้เป็นประจักษ์ก็จะเข้าใจเรื่องราวได้โดยง่าย

ดังนั้นจึงขอนำเรื่องราวเกี่ยวกับการซื้อขายหุ้นชิน และการประเมินเรียกเก็บภาษีหุ้นชินมาพรรณนาให้เห็นเป็นลำดับไป

ขั้นแรก สิ่งที่เรียกว่า “หุ้นชิน” นั้นเป็นหลักทรัพย์ที่มีการซื้อขายกันในตลาดหลักทรัพย์ ชื่อหุ้นชินก็บอกอยู่แล้วว่าเป็นบริษัทที่เกี่ยวข้องกับคนในตระกูลชินวัตร โดยเฉพาะนายทักษิณ ชินวัตร และครอบครัว

การซื้อขายหุ้นดังกล่าวนี้ถ้าเป็นการซื้อขายกันในตลาดหลักทรัพย์ก็เป็นอันได้รับการยกเว้นภาษีจากการซื้อขายนั้นไม่ว่าจะมีกำไรสักเท่าใดก็ตาม แต่แม้จะเป็นหุ้นที่มีการซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ ถ้าหากนำไปซื้อขายกันนอกตลาดหลักทรัพย์และมีกำไรเกิดขึ้น ผลกำไรที่เกิดขึ้นนั้นเป็นเงินได้พึงประเมินที่ต้องเสียภาษี ขอให้ตั้งหลักเข้าใจกันตรงนี้ให้ดีก็จะเข้าใจเรื่องราวได้โดยง่าย

ขั้นที่สอง บริษัทเทมาเส็กของสิงคโปร์ต้องการซื้อหุ้นชินให้ได้เป็นเสียงข้างมาก เพื่อเข้าครองการบริหารบริษัทนี้ แต่เนื่องจากหุ้นนี้กระจัดกระจายกันอยู่ในผู้ถือหุ้นหลายคน ดังนั้นจึงมีการตกลงซื้อขายกับผู้ถือหุ้นใหญ่รายหนึ่งให้ดำเนินการรวบรวมซื้อหุ้นรายย่อยต่าง ๆ เพื่อให้มีจำนวนตามที่ต้องการ ซึ่งเป็นการซื้อขายในราคาที่สูงเพื่อให้ผู้ที่ตกลงขายไปกว้านซื้อหุ้นในราคาที่ต่ำกว่าให้ได้จำนวนมากที่สุด

และในที่สุดก็มีการไปกว้านซื้อหุ้นรายเล็ก รายย่อย รายน้อยทั้งหลายนอกตลาดหลักทรัพย์ในราคาที่ต่ำ และผู้ที่ทำการกว้านซื้อก็จะนำมาขายในราคาที่สูง และเนื่องจากหุ้นเป็นจำนวนมากจึงมีการซื้อขายกันในตลาดหลักทรัพย์

รวมความก็คือการซื้อขายหุ้นชินดังกล่าวนั้นเป็นการซื้อขายสองระยะ

ระยะที่หนึ่ง เป็นการซื้อขายด้วยการกว้านซื้อหุ้นนอกตลาดหลักทรัพย์ ในราคาที่ต่ำ

ระยะที่สอง เมื่อรวบรวมหุ้นได้มากพอแล้วก็นำหุ้นทั้งหมดนั้นขายให้กับผู้ซื้อในตลาดหลักทรัพย์

ผลปรากฏว่าราคาหุ้นที่ซื้อขายกันนอกตลาดหลักทรัพย์เมื่อเปรียบเทียบกับราคาที่ซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์มีราคาแตกต่างกันที่เกิดผลกำไรอันเป็นเงินได้พึงประเมินเป็นจำนวนมาก และเงินกำไรจำนวนนี้ย่อมเป็นเงินได้พึงประเมินที่ต้องเสียภาษีตามกฎหมาย

ขั้นที่สาม กรณีมีคดีขึ้นสู่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง และในที่สุดศาลฎีกาก็พิพากษาให้ยึดทรัพย์นายทักษิณ ชินวัตร เป็นเงินเกือบ 50,000 ล้านบาท โดยในคำพิพากษาระบุว่านายทักษิณ ชินวัตร เป็นเจ้าของผู้ซื้อขายหุ้นตัวจริง ส่วนลูกทั้งสองเป็นเพียงตัวแทนเท่านั้น

ขั้นที่สี่ กรมสรรพากรได้ทำการตรวจสอบและแจ้งประเมินภาษีเพื่อเรียกเก็บภาษีจากกำไรที่มีการซื้อขายหุ้นดังกล่าวเป็นเงินเกือบ 20,000 ล้านบาท โดยประเมินเรียกเก็บจากลูกทั้งสองคนของนายทักษิณ ชินวัตร

ศาลภาษีอากรได้พิจารณาแล้วมีคำพิพากษาว่าลูกทั้งสองคนเป็นเพียงตัวแทน ไม่มีหน้าที่ต้องชำระภาษี และกรมสรรพากรก็เห็นชอบกับคำพิพากษาของศาลภาษีอากรจึงมิได้อุทธรณ์

ปมปัญหาเกิดขึ้นตรงนี้คือ เมื่อเห็นชอบกับคำพิพากษาของศาลภาษีอากรที่ตัดสินอย่างเดียวกันกับศาลฎีกาว่านายทักษิณ ชินวัตร เป็นตัวการ ลูกทั้งสองเป็นตัวแทนแล้ว และเมื่อเรียกเก็บภาษีจากลูกทั้งสองซึ่งเป็นตัวแทนไม่ได้ ก็ต้องทำหน้าที่ประเมินเรียกเก็บภาษีจากตัวการคือนายทักษิณ ชินวัตร

มีการละเว้นไม่ประเมินเรียกเก็บภาษีตามนัยยะคำตัดสินของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองและคำตัดสินของศาลภาษีอากร จนเวลาประเมินเรียกเก็บภาษีซึ่งมีอายุความสิบปีใกล้จะสิ้นสุดลงในวันที่ 31 มีนาคม 2560 ซึ่งใครจะต้องรับผิดจากการละเว้นบ้างก็เป็นเรื่องที่ ป.ป.ช. จะต้องพิจารณาดำเนินการต่อไป

ขั้นที่ห้า เมื่อผู้มีหน้าที่ประเมินภาษีเพิกเฉย สำนักงานตรวจเงินแผ่นดินซึ่งเป็นองค์กรอิสระและมีอำนาจหน้าที่ในเรื่องนี้จึงมีคำสั่งให้ทำการประเมินเรียกเก็บภาษีเสียภายในวันที่ 31 มีนาคม 2560 มิฉะนั้นจะเป็นอันขาดอายุความและผู้ที่เกี่ยวข้องต้องรับผิดชอบทั้งส่วนแพ่งและส่วนอาญาต่อรัฐ

เรื่องก็มีอยู่เท่านี้ แต่กลับมีข้อโต้เถียงและบิดเบือนเบี่ยงเบนกันมากมายจนเกิดความสับสนอลหม่านขึ้น กระทั่งอ้างว่ากำไรจากการซื้อขายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ไม่ต้องเสียภาษี

ซึ่งเป็นคนละเรื่อง! เพราะกรณีที่จะต้องประเมินภาษีเรื่องนี้เป็นภาษีที่จะต้องเรียกเก็บจากเงินได้พึงประเมินจากผลกำไรที่มีการซื้อขายหุ้นนอกตลาดหลักทรัพย์ในระยะแรกซึ่งเป็นช่วงการกวาดกว้านซื้อหุ้นนอกตลาดหลักทรัพย์แล้วมีผลกำไรเกิดขึ้น

จากนี้ไปก็เหลือเวลาอีก 5 วัน คงจะได้เห็นดำ เห็นแดง ชะดีชะร้ายก็จะได้เห็นความศักดิ์สิทธิ์ของกฎหมาย ป.ป.ช. ฉบับใหม่ ที่ระวางโทษผู้ละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริตถึงขั้นประหารชีวิตก็ได้!